svasdssvasds

เมื่อสตรีทอาร์ต 'ถูกกฎหมาย' ปะทะ 'ใต้ดิน' ที่เจริญกรุง

เมื่อสตรีทอาร์ต 'ถูกกฎหมาย' ปะทะ 'ใต้ดิน' ที่เจริญกรุง

บทเรียนจากสงครามสเปรย์ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องสวยงาม การปะทะกันของศิลปะ หรือ ไม่เคารพศิลปิน? ชวนมองวัฒนธรรมการพ่นสี (Graffiti) ให้ลงลึกในหลายมิติ

หลังจากที่เพจ Drama-addict เผยแพร่รูปภาพ บ้านร้างย่านเจริญกรุง ซึ่งเดิมแล้วเป็นพื้นที่ที่ทางกทม. อนุญาตให้ศิลปินมาพ่นสีแสดงฝีมือ แต่กลับถูกพ่นสีทับหลายจุด หรือที่เรียกว่า “บอมงาน” ซึ่งไม่ใช่แค่ภาพเดียว แต่หลายภาพด้วยกันที่ถูกพ่นสีทับ และขอให้ผู้เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ

Credit ภาพ Drama-addict

Credit ภาพ Drama-addict

วันนี้ (29 ก.ย. 2568) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมกับนายศานนท์ หวังสร้างบุญ ได้ลงพื้นที่บริเวณซอยเจริญกรุง 30 เขตบางรัก เพื่อตรวจสอบงานศิลปะที่ถูกพ่นทับ ตรวจสอบแล้วพบว่างานศิลปะเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งจากกิจกรรม Krung Thep Creative Streets ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ในสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เนื่องในโอกาส European Heritage Day 2025

โดยงานศิลปะเหล่านี้จะถูกพ่นลงบนกำแพงที่ทางกทม.จัดไว้ให้ เพื่อนำเสนอประวัติศาสตร์อันยาวนานของกรุงเทพมหานคร รวมถึงอิทธิพลที่ได้รับมาจากฝั่งยุโรป โดยจะพ่นศิลปะด้วยกันทั้งหมด 15 จุด จัดแสดงระหว่างวันที่ 3-21 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา

เมื่อสตรีทอาร์ต \'ถูกกฎหมาย\' ปะทะ \'ใต้ดิน\' ที่เจริญกรุง

ประเด็นนี้ มีหลายมิติที่ SPRiNG อยากชวนผู้อ่านทุกคนมาทำความเข้าใจกัน มีทั้งมิติด้านกฎหมาย มิติด้านวัฒนธรรม มิติด้านสังคมและการเมือง คุณค่าในฐานะงานศิลปะ และอีกหลายคำถามที่ผู้อ่านน่าจะสงสัย เช่น ศิลปินบอมงานกันไปทำไม ศิลปะข้างถนนทำให้เมืองมีมูลค่าขึ้นได้ยังไง แล้วกลายพ่นสี (graffiti) กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปไปตั้งแต่เมื่อไหร่

  • มิติด้านกฎหมาย

“มันผิดกฎหมายไหมนะ”

ผู้อ่านอาจเกิดคำถามนี้อยู่ในใจ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้เผยแพร่ไลฟ์สด และให้ข้อมูลเอาไว้แบบนี้ อย่างแรกคือ งานศิลปะในโปรเจกต์ดังกล่าวศิลปินเป็นคนมอบให้กทม.เป็นคนดูแล แปลว่ามันคือทรัพย์สินของกทม.

การทำลายมีโทษ และโทษของการพ่นทับผลงานที่เป้นสมบัติของสาธารณะนั้น มีโทษปรับ 60,000 บาท โดยล่าสุดสามารถจับมือพ่นได้แล้ว 1 คน จาก 3 คน ตามภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด “เสียใจ วาดซะสวยเลย มาพ่นอะไรก็ไม่รู้เนี่ย”

และผู้ว่าฯ ยังพูดถึงการเคารพศิลปะท่านอื่น และสถานที่ หมายความว่าบางพื้นที่มีเจ้าของ ไม่สามารถพ่นสีได้ตามอำเภอใจ ขอให้เรียนแจ้งมาจะจัดให้หากำแพงให้ กำแพงที่ถูกต้อง เจ้าของอนุญาต

  • มิติด้านศิลปะ

ทำไมศิลปินต้องบอมงานกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิด คนที่ติดตามศิลปะบนกำแพงแทบจะทราบกันอยู่แล้วว่าการบอมงานกันแทบเป็นเรื่องปกติในแวดวงกราฟิตี้ไปแล้ว คำถามคือ หากำแพงว่าง ๆ ไปพ่นสีไม่ได้เหรอ จะมาพ่นทับงานกันทำไม

หนึ่งในเป้าหมายของการพ่นทับงานกันคือปักธงแสดงการมีตัวตนของตัวเอง หรือกลุ่ม ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มศิลปินใต้ดิน ซึ่งที่เรียกว่าบอมก็เพราะมันเป็นการพ่นสีที่ใช้เวลาไม่นาน เน้นใหญ่ ให้ครอบคลุมภาพเดิม หรือเนื้อที่บนกำแพงให้มากที่สุด

เมื่อสตรีทอาร์ต \'ถูกกฎหมาย\' ปะทะ \'ใต้ดิน\' ที่เจริญกรุง

และหากมองให้ลึกลงไปอีก งานของศิลปินที่ถูกยอมรับโดยเมือง หรือรัฐ ถูกพ่นทับก็เพราะต้องการแสดงถึงความเหนือกว่า และแฝงนัยของการท้าทายในเชิงอำนาจ ทั้งเป็นการบอกว่าวัฒนธรรมกราฟิตี้นั้นไม่มีใครเป็นคนกำหนดกฎ

ในต่างประเทศเกิดกรณีเช่นนี้เป็นปรกติ อีกประเด็นที่เชื่อมโยงกันคือเรื่องพื้นที่ การพ่นสีสามารถเกิดขึ้นได้บนพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ซึ่งโดยมากแล้ว ศิลปินส่วนใหญ่จะเคารพพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต และไม่พ่นทับงาน (ที่มีคุณภาพสูง) แต่ในพื้นที่บางแห่ง เช่น บ้านร้าง ตึกร้าง หรือแม้แต่พื้นที่สาธารณะ การพ่นทับงานกันเกิดแทบจะเป็นปกติ แต่จะโดนจับหรือไม่ก็ตามกฎหมายของเมืองนั้น ๆ ระบุไว้

 

  • มิติด้านวัฒนธรรม

พูดถึงวัฒนธรรม graffiti แล้วจะไม่กล่าวถึงมหานครนิวยอร์กคงไม่สมควรนัก ในยุค 1980s นิวยอร์กถูกขานให้เป็นยุคทองของวัฒนธรรมการพ่นสี ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่บนกำแพงเท่านั้น แต่จะปรากฏอยู่ตามรถไฟใต้ดิน เก้าอี้ นานเข้า ๆ ก็กลายเป็นสิ่งที่เราเรียกกันในยุคนี้ว่า street art

เมื่อสตรีทอาร์ต \'ถูกกฎหมาย\' ปะทะ \'ใต้ดิน\' ที่เจริญกรุง

ซึ่งจริง ๆ แล้วต้นกำเนิดของวัฒนธรรมกราฟิตี้อาจมาตั้งแต่ยุค 60s-70s แล้วก็ได้ มีคนบอกว่ามันเริ่มที่ฟิลาเดเฟียแล้วค่อย ๆ ลามมาถึงนิวยอร์ก เมื่อคนเข้ามาหาโอกาสทางอาชีพ ในตอนนั้น มีการแข่งกันว่างานของใครถูกพ่นในที่ที่เข้าถึงยาก หรือพื้นที่หวงห้ามมากเท่าไร ศิลปะคนนั้นก็ยิ่งมีชื่อเสียงขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป จากศิลปะที่ถูกมองว่าเป็นการทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ศิลปะจำนวนมากก็พัฒนาชิ้นงานที่ซื้อขายอะไรไม่ได้ ไปเป็นงานศิลปะที่ผู้คนสามารถมาจับจองได้มากขึ้น มีการไปคอลแลบกับแบรนด์ สินค้าต่าง ๆ จนทำให้เส้นแบ่งของงานขยะ กลายเป็นศิลปะแบบจริง ๆ จัง ๆ ขึ้นมา

เมื่อสตรีทอาร์ต \'ถูกกฎหมาย\' ปะทะ \'ใต้ดิน\' ที่เจริญกรุง

จนทุกวันนี้ อาจพูดได้เต็มปากว่า grafiti ที่เกลื้อนทั่วทั้งเมืองนิวยอร์กนี่แหละ คือแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาท่องไปในศิลปะบนท้องถนน ส่งอิทธิพลไปยังอุตสาหกรรมแฟชั่น และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ซึ่งครั้งหนึ่งกราฟิตี้เป็นเพียงการส่งเสียงของคนชายขอบเท่านั้น

 

  • มิติด้านสังคมและการเมือง

การพ่นสีเนี่ยนะ จะเชื่อมโยงไปถึงขุมพลังในการแสดงออกทางการเมืองได้ ได้สิ ย้อนกลับไปในอดีต งานกราฟิตี้คือการส่งเสียงของคนรุ่นใหม่ คนชนชั้นแรงงาน และคนชายขอบที่ไม่มีสื่อกระแสหลักให้พูด งานพ่นสีบนกำแพงเป็นวิธีที่พวกเขาได้แสดงตัวตน ท้าทายอำนาจ และสื่อสารเรื่องราวที่สื่อทั่วไปไม่สนใจ

หนึ่งในศิลปินที่รู้จักในแง่นี้มาก ๆ ก็คือ Banksy ศิลปินกราฟิตี้จากเกาะอังกฤษ ทุกวันนี้ยังไม่มีใครล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วตัวจริงเขาเป็นใคร เพราะเขาใช้เทคนิคที่ชื่อว่า stencils ซึ่งทำให้เขาสามารถจบชิ้นงานได้อย่างรวดเร็ว และรอดจากการจับกุม

เมื่อสตรีทอาร์ต \'ถูกกฎหมาย\' ปะทะ \'ใต้ดิน\' ที่เจริญกรุง

และแน่นอน สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังไปทั่วโลกคือสารทางการเมืองที่แฝงอยู่ในชิ้นงาน ยกตัวอย่างเช่น ภาพ Bomb Hugger ภาพผู้หญิงกอดระเบิด เสียดสีความโหดร้ายของสงครามและอาวุธสงคราม ที่วันหนึ่งได้กลายเป็นข้าวของที่ผู้คนในบางประเทศพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังมีงานอีกหลายชิ้น เช่น Love is in the Bin ที่ถูกประมูลไปในราคา 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อสตรีทอาร์ต \'ถูกกฎหมาย\' ปะทะ \'ใต้ดิน\' ที่เจริญกรุง

 

บทสรุป

กลับมาที่สงครามสเปรย์กลางกรุงเทพฯ เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นการปะทะระหว่างงานศิลปะที่ถูกกฎหมายกับงานศิลปะใต้ดิน งานหนึ่งถูกยอมรับโดยรัฐ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อความสวยงามของเมืองและส่งเสริมการท่องเที่ยว

และสำหรับภาครัฐและประชาชนทั่วไป การพ่นทับคือการทำลายทรัพย์สินทางสาธารณะที่ควรได้รับโทษตามกฎหมาย แต่สำหรับศิลปินใต้ดินบางกลุ่ม การกระทำนี้คือการแสดงออกถึงตัวตนและการไม่ยอมรับระบบ

สภาวะอิหลักอีเหลือเช่นนี้เป็นปัญหาที่หลายเมืองทั่วโลกเผชิญ ทั้งศิลปิน เมือง ถ้าเป็นไปได้ควรหาทางออกร่วมกันว่าพื้นที่สาธารณะนั้นสามารถเป็นพื้นที่แสดงออกทางศิลปะได้ในรูปแบบใดบ้าง แต่ก็อีกนั่นแหละ อะไรที่มันกฎเกณฑ์บังคับตายตัว มันจะมีการแหกขนบเสมอ เฉกเช่นการเกิดขึ้นของกราฟิตี้ และอาจรวมถึง sreet art ด้วย

 

ที่มา: Drama-addict,

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

related