เคยรู้สึกไหมว่า ทำไมคอนเทนต์โลกออนไลน์ ถึงดู "เหมือนๆ กันไปหมดเลย" ทั้งที่ยุคหนึ่งมันเคยเป็นพื้นที่ทดลองอันสนุกสนาน หรือ "ความใหม่" ในวงการสื่อไทย จะไม่มีอีกต่อไป
“งานสื่อยังคงใช้ทักษะเดิมเหมือนในอดีต ไม่ได้ต้องใหม่ขนาดนั้น คือ เรายังใช้ทักษะการเล่าเรื่อง แต่พยายามทำงานให้ Craft (ประณีต พิถีพิถัน-คำแปลโดยผู้เขียน) ทำงานให้สนุก มีความเป็นตัวของตัวเอง และที่สำคัญต้องรับผิดชอบกับทั้งเนื้อหา และผู้ชม” คิว-มงคลชัย จันทนาโกเมษ ผู้จัดการทั่วไปของ alien (เอเลี่ยน) สื่อน้องใหม่ที่เล่าเรื่องธรรมดาในมุมสนุก ๆ กล่าว
จากความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ทำให้พฤติกรรมการเสพข่าวของคนเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือ ส่งผลให้สื่อหลายเจ้าในประเทศไทย โดยเฉพาะสื่อเก่า (Old Media / Traditional Media) เช่น หนังสือพิมพ์, นิตยสาร และโทรทัศน์ ต้องปิดตัวลง
Voice TV ซึ่งปิดตัวเมื่อเดือน พ.ค. 2567 เป็นตัวอย่างหนึ่ง, Bright TV และ Spring News ก็หยุดออกอากาศโทรทัศน์ในเดือน ส.ค. 2562 และยังมีโทรทัศน์อีกหลายช่องที่เผชิญชะตากรรมเดียวกัน
ขณะที่ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษหัวเก่าแก่ของไทยอย่าง THE NATION ก็ยุติการพิมพ์เมื่อ มิ.ย. 2562, หนังสือพิมพ์กีฬาอย่าง สตาร์ซอคเก้อร์รายวัน ตามมาด้วยการหยุดพิมพ์เมื่อ พ.ค. 2566 และล่าสุด สยามรัฐ หนังสือพิมพ์ที่เก่าแก่ที่สุดของไทยยุติประวัติศาสตร์ 76 ปีไปเมื่อเดือน ส.ค. 2568 นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวอย่างสื่อกระดาษที่ต้องอำลาแผง
แม้จำนวนหนึ่งพยายามปรับตัวด้วยการหันมาลงตลาดออนไลน์ ยังคงทำเว็บไซต์ข่าว และเผยแพร่เนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ได้ล้มหายตายจากเสียทีเดียว
แต่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นได้ตอกย้ำว่าเวลาของสื่อเก่ากำลังนับถอยหลัง ขณะที่สื่อใหม่ (New Media) ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนรุ่นพี่แล้ว
แต่คำถามที่ตามมาคือ อะไรเป็นสิ่งที่สื่อใหม่กำลังทำ ? และอะไรทำให้สื่อใหม่เป็นสื่อใหม่ ?
ในยุคหนึ่ง คนในวงการสื่อต่างเห็นว่า สื่อออนไลน์รุ่นใหม่ที่ถูกเรียกรวม ๆ ว่า “สื่อตระกูล The” พยายามนำเสนอเนื้อหาและรูปแบบที่สนุกและแปลกใหม่ แต่หลายปีมานี้ เริ่มมีคนสังเกตว่า ไม่ว่าจะเป็นสื่อใด ๆ ก็คล้ายจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า หรือ “ความใหม่” ในวงการสื่อจะไม่มีอีกต่อไป ?
ปรัชญาใหม่คือ ไม่แข่งความไว แต่แข่งใช้ความ Craft และ Passion เข้าสู้
ในทางประวัติศาสตร์ การประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ของนักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน โยฮันเนส กูเทนเบิร์ก (Johannes Gutenberg) เมื่อปี ค.ศ. 1440 (พ.ศ. 1983) นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก นำไปสู่การเริ่มต้นของอุตสาหกรรมสื่อ
ทำให้ปี ค.ศ. 1605 (พ.ศ. 2148) เกิดหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลกที่ชื่อ Relation aller Fürnemmen und gedenckwürdigen Historien (บัญชีข่าวน่าจดจำและข่าวเด่น-คำแปลโดยผู้เขียน) ในฝรั่งเศส และให้หลังก็เกิดวิทยุ รวมถึงโทรทัศน์
แต่หลังการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ตที่ทำให้การส่งต่อข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว นำมาสู่การปฏิวัติของอุตสาหกรรมสื่ออีกครั้ง หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, วิทยุ และโทรทัศน์ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนถูกจัดหมวดหมู่ว่าเป็น “สื่อเก่า” ด้วยเหตุผลว่า สามารถส่งสารได้แค่ฝ่ายเดียว และมีความรวดเร็วต่ำ โดยสิ่งที่เข้ามาแทนที่คือ “สื่อใหม่” ซึ่งใช้ประโยชน์จาก อินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม แม้สื่อใหม่จะสามารถเอาชนะสื่อเก่าด้วยความรวดเร็ว และความสามารถสื่อสารจาก 2 ทาง คือ ฝั่งสื่อและฝั่งผู้รับสาร (ผู้อ่าน, ผู้ฟัง และผู้ชม) แต่หลังจากเกิดสื่อใหม่มาหลายปี ปัจจุบัน คนทำสื่อกลับมองว่า “ความเร็ว” จะไม่ใช่จุดขายเดียวของสื่อใหม่อีกแล้ว
คาลิล พิศสุวรรณ บรรณาธิการบริหาร (บก.บห.) ไทยรัฐพลัส แบ่งปันความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ไทยรัฐพลัส ไม่ได้มุ่งเน้นความเร็วในการนำเสนอ แต่เราพยายาม Craft เนื้อหาให้ดี ใช้ภาพในการเล่าเรื่อง รอจังหวะสถานการณ์ที่เหมาะสม รอให้เรื่องต่าง ๆ คลี่คลายเน้นการออกแบบเนื้อหาให้น่าสนใจ และเห็นภาพรวมของสถานการณ์ เพราะเราเชื่อว่า เรื่องความเร็วสื่ออื่น ๆ หรือ (เว็บไซต์) ไทยรัฐใหญ่ทำได้ดีอยู่แล้ว พลัสจึงทำหน้าที่เป็นไม้สอง ช่วยคิดต่อยอด และหาวิธีการสื่อสารที่ต่างออกไป”
ไทยรัฐพลัส คือ สื่อออนไลน์น้องใหม่ในเครือหนังสือพิมพ์รายวันเก่าแก่อย่างไทยรัฐ โดยพลัสนิยามตัวเองว่า จะทำหน้าที่เติมเต็มความต้องการของผู้อ่าน ด้วยบทวิเคราะห์ บทความ สกู๊ปเชิงลึก เพื่อชวนคิด และตั้งคำถามประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าเรื่องสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม บนพื้นฐานที่เราต่างอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ได้ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
แน่นอนว่าอีกนัยหนึ่ง ไทยรัฐพลัส เป็นความพยายามในการปรับตัวของสื่อเก่า เพื่อไล่ตามยุคสมัยที่สื่อออนไลน์กลายเป็นผู้เล่นหลักในสมรภูมิสื่อสารมวลชน เป็นความพยายามในการปรับภาพลักษณ์ใหม่ และต่อสู้เพื่อช่วงชิงการยอมรับจากคนรุ่นปัจจุบัน
ทั้งนี้ คาลิล ยังเชื่อว่า วิธีทำงานแบบสื่อเก่าก็มีจุดแข็งที่สามารถนำมาใช้ได้กับสื่อยุคปัจจุบัน เช่น การกระตุ้นให้นักข่าวลงสนาม เพื่อไปสัมภาษณ์กับชุมชนจริง ๆ รวมทั้ง พูดคุยกับคนในพื้นที่เพื่อให้การถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ สามารถสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้
ขณะที่ คิว แห่ง alien ก็เชื่อว่า การไม่แข่งขันเรื่องความเร็ว หรือการนำเสนอสถานการณ์ปัจจุบันทันด่วน เป็นแนวทางการทำงานที่เหมาะสมกับ alien ด้วยเช่นกัน
“เราถนัดงานช้า เพราะ ถ้าเล่นเกมเร็ว เราสู้สำนักข่าวไม่ได้ เราจึงออกแบบงานให้เป็น Evergreen ซึ่งสามารถนำงานที่เคยทำปีที่แล้ว มาเผยแพร่ซ้ำในปีนี้ และปีถัด ๆ ไปได้” คิว อธิบาย
คิวบอกว่า alien ไม่ได้พยายามที่จะทำเรื่องที่คนทั้งประเทศสนใจ แต่มุ่งเน้นที่การมองกลุ่มคนที่เล็กลงมาแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะ หรือมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ขณะเดียวกัน alien ก็พยายามตั้งคำถามกับความเชื่อดั้งเดิม และหาคำตอบที่แตกต่างออกไป
ตัวแทนจาก alien ยังเชื่อว่า งานที่ดีต้องเกิดจากความสนใจของคนทำงาน ไม่ใช่การสั่งงานจากบรรณาธิการเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งสำหรับเขา นี่นับอาจเป็นหัวใจในความสำเร็จของสื่อยุคใหม่เช่น alien และอื่น ๆ
“เราไม่เชื่อในการทำงานแบบที่บรรณาธิการสั่งให้ใครทำอะไร เพราะเรารู้สึกว่า งานที่ดีคนทำงานต้องสนใจก่อน แล้วถ้าคนรุ่นใหม่ในทีมเสนอประเด็นที่คิดว่ามันสนุก รุ่นพี่ในทีมค่อยมาช่วยท้าทายรุ่นน้องว่า งานชิ้นนั้นจะให้ประโยชน์กับคนดูยังไง ผมเองเชื่อว่า งานที่ดีมักเกิดจาก Passion (ความลุ่มหลง หรือความสนใจอย่างจริงจัง-คำแปลโดยผู้เขียน) ของคนทำงาน ความอยากถ่ายทอด ความยินดีที่จะทุ่มเทเวลาเพื่อติดตามทำเรื่องนี้ ไม่ได้เกิดจากการตั้งเป้าว่า เราจะทำเพื่อชิงรางวัล” ผู้จัดการ alien ทิ้งท้าย
กำไร คือ ความท้าทาย
ปัจจุบัน สามารถพูดได้ว่า การเติบโตของสื่อเก่าหดลงเรื่อย ๆ จากในปี 2556 กสทช.สามารถทำเงินจากการประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 24 ช่อง ได้ถึง 50,862 ล้านบาท และในปีเดียวกัน บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าการโฆษณาในช่องทีวีสูงระดับ 69,249 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60.2 % ของอุตสาหกรรมสื่อ
แต่ในปี 2567 เหลือทีวีดิจิทัลที่ยังออกอากาศเพียง 15 ช่อง ขณะที่ สมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (Media Agency Association of Thailand-MAAT) ระบุว่า สัดส่วนค่าโฆษณาในช่องทีวีเหลือเพียง 45% ของอุตสาหกรรมสื่อ หรือประมาณ 53,049 ล้านบาท ซึ่งหดลงกว่าเมื่อ 11 ปีที่แล้วเสียอีก
ดังนั้น การทำกำไรของสื่อจึงเป็นความท้าทายที่อุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญ
“การหาเงิน คือส่วนที่ยากที่สุดของสื่อยุคปัจจุบัน เพราะเราต้องรักษาสมดุลระหว่างจริยธรรมความเป็นสื่อ กับการขายงานลูกค้า และเส้นแบ่งระหว่างความเป็นสื่อกับการขายมันก็พร่าเลือนมากขึ้น บางครั้ง ลูกค้าให้ Unbranded (กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ของลูกค้า แต่ไม่ระบุว่าเป็นโฆษณาโดยตรง-คำแปลโดยผู้เขียน) เลยกลายเป็นคำถาม เป็นความท้าทายว่า เราจะทำยังไงให้รักษาความซื่อสัตย์กับผู้อ่าน แต่ก็ตอบโจทย์ของลูกค้าได้ด้วยพร้อม ๆ กัน” บก.บห. ไทยรัฐพลัส กล่าว
ขณะเดียวกัน การเติบโตของสื่อเก่ากำลังสวนทางกับสื่อใหม่ โดยในปี 2567 MAAT ระบุว่า สื่อออนไลน์มีมูลค่าโฆษณา 37,444 ล้านบาท หรือ 32% ของอุตสาหกรรมฯ จากที่ 11 ปีที่แล้วมีมูลค่าแค่ 877 ล้านบาทหรือไม่ถึง 1 % แต่แม้จะเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ก็ใช่ว่าการทำกำไรของสื่อใหม่จะง่ายตามไปด้วย
“alien มีสารคดีขนาดยาวกว่า 15 นาที ซึ่งในแง่การรับรู้มันค่อนข้างดี มีนักวิชาการแชร์เยอะ ชื่นชมเยอะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตีเป็นตัวเลขหรือเม็ดเงินยาก เราเองก็ให้คุณค่ากับสิ่งนี้ พยายามรักษางานแบบนี้ไว้ แต่อีกทางนึง ยอดคนดูก็ไม่เยอะ เอ็นเกจเมนท์ก็ไม่ดี อาจเพราะปัจจุบันคนไม่ได้อยากดูงานที่จริงจังมากนัก ซึ่งเราต้องมาคิดว่า จะต่อยอดงานแบบนี้ยังไง โดยวิธีที่เราเลือกตอนนี้ เป็นการส่งงานกลุ่มนี้ชิงรางวัล เพราะอย่างน้อย รางวัลก็นับเป็นหน้าเป็นตาและมีคุณค่ากับคนทำงาน” มงคลชัย เล่า
มงคลชัย เชื่อว่า การทำสื่อเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่แนวทางในการอยู่รอดของสื่อยุคใหม่แล้ว ขณะเดียวกันก็เชื่อว่า การวางแผนธุรกิจสำหรับองค์กรสื่อมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เราเริ่มต้น alien โดยไม่ได้วางตัวเองเป็น Journalist แต่มีความเป็น Content Creator มากกว่า และในอนาคตเรายังวางเป้าหมายที่จะขยับจากบริษัทผลิตสื่อไปเป็น Agency แล้วถ้าประสบความสำเร็จ ก็อยากขยับไปเป็น Organizer จัดกิจกรรมสนุก ๆ กับกลุ่มเป้าหมายของเรา เพราะเชื่อว่า ปัจจุบัน ลูกค้าอาจให้ความสำคัญกับงานวิดีโอน้อยลง เพราะเชื่อมั่นกับการจัดกิจกรรมที่มีคนมาร่วมงานจริง ๆ มากกว่า” ผู้จัดการฯ alien ระบุ
ต้องใส่ใจความถูกต้องและรับผิดชอบ
“สิ่งที่เรายังต้องยึดถือคือ มาตรฐานการเล่าเรื่อง ความถูกต้องของข้อมูล การเข้ามาของ AI ผมก็เห็นข้อดีของมันเยอะ แต่การใช้ข้อมูลต้องตรวจสอบให้ดี และถ้าผิดพลาดไปแล้ว คนทำงานก็ต้องพร้อมที่จะขอโทษ นั่นคือการรับผิดชอบต่อคนดูของเรา ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็น สื่อใหม่หรืออินฟลูเอนเซอร์ก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้” คิว จาก alien ยืนยัน
คิว เชื่อว่า ความผิดพลาดของข้อมูลสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดต้องรีบแก้ไข ต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบ และนำความผิดพลาดนั้นไปเป็นบทเรียนในอนาคต
ปัจจุบัน ปัญหาการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจนไปถึงการเสนอข่าวปลอม เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับสื่อออนไลน์ โดยมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพได้ทำสำรวจ ระหว่างวันที่ 8- 12 ส.ค. 2568 จาก 1,029 ตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 45.50 % รับข่าวสารจาก Facebook รองลงมา 18.20 % รับจาก TikTok และอีก 13.60 % เสพข่าวจาก YouTube ส่วนที่เหลือใช้ Line, X และเว็บไซต์ในการติดตามข่าว ที่แม้ 52.30 % ของกลุ่มตัวอย่างจะยืนยันว่า มีพฤติกรรมในการตรวจสอบข่าวปลอมจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ แต่ก็มีถึง 79.50 % ที่ยอมรับว่า เคยแชร์ข่าวที่มารู้ทีหลังว่าเป็นข่าวปลอม
นอร์ทกรุงเทพโพล ยังระบุว่า กลุ่มตัวอย่าง 63.60 % ต้องการให้ หน่วยงานรัฐ เช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือกระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการกับข่าวปลอม ขณะที่ 40.90 % มองว่า สื่อมวลชนมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย และ 38.60 % เห็นว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าของแพลตฟอร์ม
สำหรับ คิวในฐานะคนทำสื่อใหม่เห็นว่า นอกจากการรับผิดชอบต่อข้อมูลที่นำเสนอแล้ว ความรับผิดชอบต่อผู้ชม และแหล่งข่าวก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ
“มีครั้งนึง เราขออนุญาตเข้าไปถ่ายเรื่องเกี่ยวกับ LGBTQ+ ในศาสนสถานแห่งหนึ่ง แล้วงานชิ้นนั้นถูกเผยแพร่ออกไป และได้รับความนิยมมาก แต่ผู้นำศาสนาไม่พอใจเนื้อหาที่เราเผยแพร่ จึงเรียกร้องให้เราลบคลิป ซึ่งเราเองก็ลำบากใจ พยายามต่อรอง ขอตัดเนื้อหาบางส่วน โดยชี้แจงว่า เราเองก็เสียค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำไปแล้ว แต่สุดท้าย เขาก็มีเหตุและผลมากพอในการพูดคุย และเราก็พบว่า ทีมงานของเราไม่ได้ขออนุญาตถ่ายทำเป็นลายลักษณ์อักษร สุดท้ายเราจึงตัดสินใจลบคลิปนั้นทิ้ง เพราะมันคือสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ มากกว่าสนใจแค่ยอดคนดู” ตัวแทนจาก alien ย้อนอดีต
จุดยืนที่ชัดเจน คือ จุดแข็ง ท่ามกลางการแทรกแซงจากรัฐและแพลตฟอร์ม
“ผมคิดว่า เราสามารถใช้น้ำเสียงแบบที่ไม่ต้องรักษาความเป็นกลางแบบที่เราร่ำเรียนมาได้ แต่ยังต้องรักษาความเป็นกลางในเรื่องการมองประเด็นนั้น ๆ ให้รอบด้าน นำเสนอหลักฐานที่ครอบคลุม แต่ขณะเดียวกันต้องยืนหยัดในอุดมการณ์บางอย่าง เราสามารถยืนยันได้ว่า เรายืนอยู่ข้างไหนในประเด็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งผมเห็นว่า สื่อรุ่นใหม่จำนวนมากก็พยายามที่จะแสดงความชัดเจนเรื่องจุดยืนทางอุดมการณ์” คาลิล กล่าว
ต่อประเด็นเรื่องการทำหน้าที่ของสื่อ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation และผู้สื่อข่าวอาวุโส ชี้ว่า ไม่ว่าสื่อใหม่หรือสื่อเก่า สามารถรักษาจรรยาบรรณาได้ด้วยการยึดหลัก 3 ข้อ คือ 1. การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นการเฉพาะเจาะจง 2. การที่ผู้รายงานข่าวต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้ถูกนำเสนอข่าว และ 3. การยึดถือความถูกต้องแม่นยำ
“ผมมองว่า สื่อต้องพยายามเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่ไร้เสียง ไร้โอกาส เพื่อให้เขามีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และแสดงจุดยืน เปิดพื้นที่ให้คนที่ถูกกดขี่ทางอำนาจได้ถูกมองเห็น เช่น พยายามฟังเสียงของแรงงานกัมพูชาในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ, พยายามนำเสนอเรื่องของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+), ผู้ให้บริการทางเพศ และคนไร้บ้าน ซึ่งคนเหล่านี้มีจุดร่วมเดียวกันคือ ถูกสื่อในอดีตกดขี่และสร้างอคติ แต่กลับมีพื้นที่อธิบายตัวเองน้อยมาก” คาลิล อธิบาย
ในยุคปัจจุบัน แม้หลายคนจะเชื่อว่า คนมีอิสระในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น เพราะการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ความจริงแล้ว หลายครั้งรัฐบาลก็ยังพยายามที่จะแทรกแซงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วย
เช่น ในเดือน ก.ย. 2563 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร้องเรียนต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ให้ดำเนินคดีกับ Facebook, Instagram และ Twitter (หรือ X ในปัจจุบัน) หลังไม่ยอมปิดกั้นเนื้อหากว่า 600 รายการตามคำสั่งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ในมุมคนทำสื่อหลายครั้งก็พบว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเองก็พยายามควบคุมข้อมูลข่าวสารด้วยการปิดกั้นการเข้าถึง ซึ่งสิ่งนี้ได้กลายเป็นความท้าทายสำหรับการทำสื่อในยุคปัจจุบัน
“หลายครั้งแพลตฟอร์มเลือกหรือไม่เลือกจะนำเสนอบางประเด็น เช่น เห็นชัดเลยว่า Facebook พยายามลดการมองเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับคนปาเลสไตน์และคนในพื้นที่กาซาที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของอิสราเอล จึงเป็นเรื่องน่าปวดหัวของคนทำงานสื่อว่าจะทำยังไงให้เนื้อหาของเราเข้าถึงคนอ่านได้” คาลิล ระบุ