svasdssvasds

จาก 60 สู่ 70 ปี: มาตรฐานใหม่ของอายุเกษียณโลก ทำงานนานเพื่ออยู่รอด

จาก 60 สู่ 70 ปี: มาตรฐานใหม่ของอายุเกษียณโลก ทำงานนานเพื่ออยู่รอด

“70 คืออายุเกษียณใหม่ในอนาคต” เมื่ออัตราการเกิดลดลง และแรงงานสูงวัยกลายเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจโลก โอกาสใหม่ของสังคมผู้สูงอายุ

SHORT CUT

  • ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาคล้ายกัน  ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นแต่แรงงานลดลง ส่งผลให้ระบบบำนาญไม่ยั่งยืน หลายประเทศจึงขยับ “อายุเกษียณ” ให้สอดคล้องกับอายุขัย เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างรายได้จากภาษีและภาระจ่ายเงินให้ผู้เกษียณ
  • หลายประเทศในยุโรป เช่น เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และสวีเดน ปรับระบบให้ “อายุเกษียณเพิ่มขึ้นตามอายุขัยเฉลี่ย” โดยอัตโนมัติ เช่น เดนมาร์กอาจแตะ 74 ปีในปี 2060 ขณะที่บางประเทศอย่างนอร์เวย์และฟินแลนด์เปิดทางเลือกเกษียณได้ยืดหยุ่น 62–75 ปี เพื่อให้เกิดความยุติธรรมระหว่างรุ่น
  • ข้อมูลจาก OECD ระบุว่า อายุเกษียณเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยประเทศอย่างเดนมาร์ก อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และสวีเดนจะเป็นกลุ่มแรกที่แตะ “70 ปี” ส่วนประเทศใหญ่อย่างสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี จะอยู่ที่ 67 ปี ซึ่งหมายความว่า “67 กำลังเป็น 65 ใหม่ของโลก” และแนวโน้มนี้จะกำหนดรูปแบบสังคมแรงงานในอนาคตให้ผู้สูงอายุยังคงทำงานและมีรายได้ต่อไปได้อย่างมั่นคง

“70 คืออายุเกษียณใหม่ในอนาคต” เมื่ออัตราการเกิดลดลง และแรงงานสูงวัยกลายเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจโลก โอกาสใหม่ของสังคมผู้สูงอายุ

โลกกำลังเผชิญความจริงข้อใหม่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ผู้คนมีอายุยืนขึ้น แต่จำนวนแรงงานกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ระบบบำนาญในหลายประเทศจึงเริ่มสั่นคลอน เพราะต้องจ่ายเงินให้ผู้เกษียณที่มีชีวิตยาวนานกว่าเดิม ขณะที่รายได้จากภาษีแรงงานลดลง นี่คือเหตุผลสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มทยอย “ขยับอายุเกษียณ” ให้สอดคล้องกับอายุขัยของประชากร เพื่อรักษาความยั่งยืนของระบบการคลังและความเป็นธรรมระหว่างรุ่น

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในยุโรป แต่เป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างเดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ ไปจนถึงประเทศกลุ่มอื่นๆ อย่างจีน บราซิล หรือมอริเชียส แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ “วิธีการและจังหวะเวลา” ที่แต่ละประเทศเลือกใช้ในการสื่อสารและปรับตัว

จาก 60 สู่ 70 ปี: มาตรฐานใหม่ของอายุเกษียณโลก ทำงานนานเพื่ออยู่รอด

ยืดอายุเกษียณตามอายุขัย: แนวทางใหม่ของโลกที่อายุยืนขึ้น

หลายประเทศเลือกใช้วิธีเชื่อมโยงอายุเกษียณเข้ากับ “อายุขัยเฉลี่ยของประชากร” เพื่อให้ระบบบำนาญยั่งยืนตามความเป็นจริง เช่น เดนมาร์ก วางแผนขยับอายุเกษียณจาก 67 ปีในปี 2025 ไปเป็น 70 ปีในปี 2040 และอาจสูงถึง 74 ปีในปี 2060 หากคนรุ่นใหม่ยังคงอายุยืนขึ้นเรื่อย ๆ

เนเธอร์แลนด์ ใช้ระบบอัตโนมัติที่คำนวณจากสถิติอายุขัยโดยตรง เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วน อิตาลีและสวีเดน ใช้สูตร “หนึ่งต่อหนึ่ง” หมายความว่า หากอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นหนึ่งปี อายุเกษียณก็จะขยับขึ้นตามนั้น ในขณะที่ นอร์เวย์และฟินแลนด์ เปิดทางเลือกให้เกษียณได้ตั้งแต่ 62–75 ปี โดยเงินบำนาญจะถูกปรับตามอายุขัยของแต่ละคนอย่างเป็นธรรม

แนวทางเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะหาสมดุลระหว่าง “ความยั่งยืนทางการคลัง” กับ “ความเป็นธรรมทางสังคม” โดยไม่ผลักภาระให้คนรุ่นใดรุ่นหนึ่งจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มักใช้เวลายาวนานหลายสิบปีเพื่อให้ประชาชนปรับตัว พร้อมกับออกนโยบายสนับสนุนแรงงานสูงวัย เช่น การฝึกทักษะใหม่ การสร้างงานสำหรับผู้มีอายุ 60+ และการอนุญาตให้ผู้ที่ทำงานหนักสามารถเกษียณก่อนกำหนดโดยยังได้รับสวัสดิการบางส่วน

จาก 60 สู่ 70 ปี: มาตรฐานใหม่ของอายุเกษียณโลก ทำงานนานเพื่ออยู่รอด

ประเทศที่ยังอยู่ที่ 60–65 ปี

ในอีกฟากหนึ่งของโลก หลายประเทศยังคงอายุเกษียณไว้ที่ระดับเดิม เช่น

  • แคนาดา และ ญี่ปุ่น คงที่ที่ 65 ปี แต่เปิดโอกาสให้เลื่อนเกษียณไปถึง 70 ปีเพื่อเพิ่มเงินบำนาญ
  • จีน ยังอยู่ที่ 60 ปีสำหรับผู้ชาย และ 50–55 ปีสำหรับผู้หญิง แต่รัฐบาลได้ประกาศว่าจะเริ่มเพิ่มอายุเกษียณขึ้น 3–5 ปีภายในปี 2039
  • อินเดีย ยังคงที่ราว 60 ปีโดยไม่มีแผนเปลี่ยนแปลง
  • สิงคโปร์ มีแผนเพิ่มจาก 63 เป็น 65 ปีภายในปี 2030

กลุ่มประเทศเหล่านี้กำลังเผชิญความท้าทายด้าน “ภาระผู้สูงอายุ” ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะจำนวนแรงงานใหม่ไม่เพียงพอจะรองรับผู้เกษียณที่ยาวนานขึ้น

70 คืออายุเกษียณใหม่ในอนาคต

ข้อมูลจาก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)  ระบุว่า ในปี 2022 อายุเกษียณเฉลี่ยของผู้ชายอยู่ที่ 64.4 ปี และผู้หญิงอยู่ที่ 63.3 ปี แต่ในอีก 40 ปีข้างหน้า ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 66.3 และ 65.8 ปีตามลำดับ สำหรับคนรุ่นที่เกิดหลังปี 2000

ประเทศอย่างเดนมาร์ก อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และสวีเดนจะเป็นกลุ่มแรกที่แตะอายุเกษียณ 70 ปี ขณะที่ประเทศใหญ่อื่น ๆ อย่างอังกฤษ สหรัฐฯ และเยอรมนี จะอยู่ที่ 67 ปี ซึ่งแปลว่า “อายุ 67” กำลังกลายเป็น “65 ใหม่ของโลก” และ “70” กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานถัดไปของคนรุ่นใหม่

แต่การเพิ่มอายุเกษียณก็สร้างความท้าทายให้กับผู้กำหนดนโยบายไม่น้อย โดยเฉพาะในประเด็น “แรงงานสูงวัย” ที่อาจมีปัญหาสุขภาพ หรือทำงานในอาชีพที่ใช้แรงมาก รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหามาตรการช่วยเหลือให้คนเหล่านี้ยังมีรายได้ แม้ยังไม่ถึงอายุเกษียณ หรือสามารถเลือกเกษียณก่อนเวลาได้โดยไม่เสียสิทธิ์มากเกินไป

ในขณะเดียวกัน อัตราการเกิดที่ลดลง ก็กำลังเพิ่มแรงกดดันต่อระบบบำนาญ เพราะจำนวน “ผู้ทำงาน” มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับ “ผู้เกษียณ” ซึ่งหมายความว่าภาระการดูแลผู้สูงอายุจะยิ่งหนักขึ้นในอนาคต

หากตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ การปรับอายุเกษียณก็ไม่ใช่ภาระ แต่จะเป็น “โอกาส” ในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน และเปิดทางให้ผู้สูงอายุมีชีวิตบั้นปลายที่มั่นคงและมีความสุขมากขึ้น

ที่มา hainesglobalpensions

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related