
SHORT CUT
วิกฤตน้ำท่วม68 เจอ3ปัจจัยเสี่ยง น้ำล้นเขื่อน พายุไต้ฝุ่นคัลแมกี น้ำทะเลหนุน กทม.อ่วมเรนบอมบ์ กางแผนรับมือ เช็กสถานการณ์ทุกมิติ
กรมชลประทาน เปิดเผยสถานการณ์น้ำล่าสุด เนื่องจากอิทธิพลของร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออกตอนบน และภาคอีสานตอนล่าง ทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัด ตาก, กำแพงเพชร, นครสวรรค์, อุทัยธานี, ชัยนาท, กาญจนบุรี, ราชบุรี, สุพรรณบุรี, นครปฐม และเพชรบุรี ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขา โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์
สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท
        
กรมชลประทาน จึงขอแจ้งปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ตั้งแต่เวลา 10.00 น.(4 พ.ย.68) จากอัตรา 2,300 ลบ.ม./วิ เป็นอัตรา 2,400 ลบ.ม./วิ ภายในเวลา 16.00 น. ของวันนี้ และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง พร้อมบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ด้วยการหน่วงน้ำไว้ด้านเหนือ พร้อมรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ตามศักยภาพของคลอง เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด
เขื่อนป่าสักฯ น้ำทะลุ 102% เร่งระบายน้ำ เฝ้าระวังระดับแม่น้ำเพิ่มสูง
สถานการณ์น้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ล่าสุด 4 พ.ย. 68 เวลา 06.00 น.
        
ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 6 - 9 พฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” เพื่อควบคุมปริมาณน้ำในอ่างฯให้อยู่ในระดับเหมาะสมและเตรียมรองรับน้ำฝนที่จะเข้ามาเพิ่มเติม โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์ จะทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำ จาก 25 เป็น 150 ลบ.ม./วินาที โดยจะทยอยปรับเพิ่มวันละประมาณ 25 ลบ.ม./วินาที
ทั้งนี้จะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักด้านท้ายเขื่อนป่าสักฯ เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 1.20 – 1.40 เมตร โดยระดับน้ำดังกล่าวยังคงอยู่ในลำน้ำ ไม่ถึงขั้นล้นตลิ่ง ขอให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำป่าสักและพื้นที่ใกล้เคียงติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
        
คาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 8 - 10 พ.ย. 68 ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้นและจะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ จึงมีมติที่ประชุมให้หน่วยงานดำเนินการปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนภูมิพล จ.ตาก ตามลำดับ ดังนี้
        
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาจากกรมอุทกศาสตร์ โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียง ในระหว่างวันที่ 6 - 13 พฤศจิกายน 2568 เวลาประมาณ 06.00 - 13.00 น. เป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียงอาจมีความสูงประมาณ 1.70 – 2.00 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.30 เมตร เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุม ทำให้มีฝนตกในบางพื้นที่ ประกอบกับมวลน้ำจากตอนบนของลุ่มน้ำไหลลงมาสมทบ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วม เนื่องจากน้ำทะเลหนุน บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม
        
วันนี้ 4 พฤศจิกายน 2568 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล กำลังเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมขังวิกฤตในชั่วโมงเร่งด่วนเช้าวันนี้ หลังกรมอุตุนิยมวิทยา เตือนฝนยังคงตกหนักต่อเนื่อง 60% ของพื้นที่
กรมอุตุนิยมวิทยาประจำวันที่ 4 พ.ย. 68 ชี้ชัดว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังไม่พ้นวิกฤต โดยมีฝนฟ้าคะนอง ถึงร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิสูงสุดวันนี้แตะที่ 31-33°C ต่ำสุด 24-25°C
รายงานปริมาณน้ำฝนรวมสูงสุดในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา (สิ้นสุด 07.00 น.) ยืนยันว่า พื้นที่ กทม. เผชิญกับฝนหนักถึงหนักมาก โดยจุดที่วัดปริมาณฝนได้สูงสุดคือ
ปริมาณฝนที่สูงเกิน 60 มม. ในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังสะสมอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสำคัญของการเดินทาง
กรมอุตุนิยมวิทยา อัปเดตการพยากรณ์ฝนสะสมรายวัน 10 วันล่วงหน้า (ทุก 24 ชม. ตั้งแต่ 07.00 น. ถึง 07.00 น. วันรุ่งขึ้น) ระหว่างวันที่ 4 – 13 พ.ย. 68
ช่วงวันที่ 4 - 6 พ.ย. 68 มวลอากาศเย็นกำลังปานกลางแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนอีกระลอก ทำให้ฝนเริ่มลดลงในหลายพื้นที่ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้ง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วน ภาคใต้ตั้งแต่เพชรบุรีลงไป ยังคงมีฝนฟ้าคะนองประปราย โดยมีฝนปานกลางบางพื้นที่
พายุไต้ฝุ่น “คัลแมกี” ปัจจุบัน (4 พ.ย. 68) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์ และกำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตก คาดว่าจะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ช่วง คืนวันที่ 4 ถึงเช้าวันที่ 5 พ.ย. 68 จากนั้นจะเคลื่อนขึ้นฝั่ง ประเทศเวียดนามตอนกลาง ในช่วง 6 – 7 พ.ย. 68 หลังจากนั้นพายุจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง และคาดว่าจะเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน โดยจะเริ่มส่งผลต่อ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (โดยเฉพาะ จ.อุบลราชธานี) ในวันที่ 7 พ.ย. 68 ทำให้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่บริเวณภาคอีสาน ก่อนที่พื้นที่อื่นๆ จะได้รับผลกระทบตามมาในวันถัดไป
อย่างไรก็ตาม ทิศทางและกำลังของพายุ ยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ จำเป็นต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดจากกรมอุตุนิยมวิทยา
ช่วงวันที่ 10 – 13 พ.ย. 68 มวลอากาศเย็นเริ่มแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน แรงขึ้นและเป็นระบบมากขึ้น ช่วงแรกของการแผ่ลงมาอาจมีฝนบางแห่ง จากนั้นอากาศจะเริ่มเย็นในตอนเช้า โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน ฝนจะลดลง เหลือเพียงบางแห่งในภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
        
ที่มา : สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ , กรมอุตุนิยมวิทยา , เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ฯ