
SHORT CUT
รัฐบาลประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์เป็น "วาระแห่งชาติ" โดย 15 หน่วยงานร่วมลงนาม MOU เพื่อผนึกกำลังต่อสู้กับแก๊งสแกมเมอร์
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้นำทีมหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน และองค์กรด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยี 15 แห่ง ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อผนึกกำลังในการ ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยประกาศชัดว่านี่คือ "ก้าวสำคัญของประเทศไทย" และคือการประกาศ "สงคราม" เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยสแกมเมอร์ที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น และจิตใจของคนไทย
พิธีลงนามครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวของทุกเสาหลักที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ความมั่นคง และกฎหมาย โดยมีผู้ร่วมลงนามหลักๆ เช่น
นายอนุทิน ย้ำชัดว่า อาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้กลายเป็น "ภัยความมั่นคงอันดับต้นๆ ของประเทศ" ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและชื่อเสียงอย่างประเมินค่าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงประกาศให้เป็น "วาระแห่งชาติ" พร้อมสนับสนุนทั้งงบประมาณ เทคโนโลยี และบุคลากร เพื่อทำให้ไทยเป็น "ดินแดนต้องห้ามของสแกมเมอร์"
นายกรัฐมนตรีระบุว่า MOU นี้ไม่ได้เป็นเพียงเอกสาร แต่คือ "อาวุธทางยุทธศาสตร์" ที่จะใช้ในการต่อสู้กับมิจฉาชีพ โดยมี 5 มาตรการหลัก ที่จะปฏิบัติการอย่างเร่งด่วน
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยความหนักแน่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหา และประกาศต่อหน้าผู้บริหารทุกหน่วยงานว่า:
"ผมจะไม่มีวันที่จะต้องเกรงใจใครที่ตั้งใจจะมาทำร้ายประชาชนของผม ขอให้ประชาชนมั่นใจ วันนี้ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์ เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีเกี้ยเซียะ มีแต่ลุยลูกเดียว"
คำกล่าวนี้เป็นการยืนยันความตั้งใจที่จะดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีการประนีประนอมหรือการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการสแกมเมอร์
ในด้านปฏิบัติการภาคพื้นดิน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เปิดเผยถึงแผนการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ เพื่อติดตามภารกิจสำคัญในการ ส่งตัวผู้กระทำผิดข้ามแดน จาก KK Park เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งถูกระบุว่าเป็น "ศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก"
ผู้ต้องหาเหล่านี้หลบหนีเข้ามาในไทยหลังเมียนมาดำเนินการกวาดล้าง และรัฐบาลไทยจะดำเนินการส่งกลับประเทศต้นทาง พร้อมเร่งตรวจสอบและปิดช่องทางการใช้ประเทศไทยเป็นฐาน ฟอกเงิน หรือเป็น ทางหลบหนี ทางกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด
นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ออกมาเปิดเผยมาตรการเชิงรุกและแนวทางใหม่ที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในการ "ประกาศสงครามกับสแกมเมอร์" ร่วมกับ 15 หน่วยงาน โดยเน้นการโจมตีไปที่ จุดเริ่มต้น และเส้นทางการเงิน ของขบวนการมิจฉาชีพ
ดีอีได้พุ่งเป้าไปที่ "ซิมการ์ด" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ในการหลอกลวง โดยมีการยกระดับการควบคุม 2 ส่วนหลัก
เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเงินที่ได้จากการหลอกลวง นายไชยชนกเปิดเผยถึงนโยบายเชิงรุกในการควบคุมผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับ "บัญชีม้า" ดังนี้
ดีอีกำลังเร่งดำเนินการด้านกฎหมายและเทคโนโลยีเพื่อตอบโต้สแกมเมอร์
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศปอส.ตร. ได้อัพเดตสถานการณ์สแกมเมอร์ในประเทศไทย
ตัวเลขความเสียหาย: ปัจจุบัน สถานการณ์ยังคงทรงตัว โดยมีผู้ตกเป็นเหยื่อเฉลี่ย 1,000 รายต่อวัน สร้างความเสียหายเฉลี่ย 70 ล้านบาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ผลจากการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ การอายัด/ระงับบัญชีเพิ่มสูงขึ้น และโครงการ "Money Cash Back" ที่นำเงินคืนผู้เสียหายก็มีอัตราสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา มีการส่งเงินคืนผู้เสียหายแล้วกว่า 60 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมความเสียหายที่นำกลับมาได้ มากกว่า 200 ล้านบาท