svasdssvasds

"สงครามสแกมเมอร์" วาระแห่งชาติ เปิด 5 ยุทธศาสตร์ สกัดอาชญากรรมไซเบอร์

"สงครามสแกมเมอร์" วาระแห่งชาติ เปิด 5 ยุทธศาสตร์ สกัดอาชญากรรมไซเบอร์

รัฐบาลประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์เป็น "วาระแห่งชาติ" โดย 15 หน่วยงานร่วมลงนาม MOU เพื่อผนึกกำลังต่อสู้กับแก๊งสแกมเมอร์

SHORT CUT

  • รัฐบาลประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์เป็น "วาระแห่งชาติ" โดย 15 หน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมลงนาม MOU เพื่อผนึกกำลังต่อสู้กับแก๊งสแกมเมอร์
  • เปิด 5 ยุทธศาสตร์หลักในการต่อสู้ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด, การบูรณาการข้อมูล, การยึดทรัพย์, การใช้เทคโนโลยี AI และการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน
  • ออกมาตรการเชิงรุกเพื่อตัดวงจร เช่น จำกัดการถือครองซิมการ์ดไม่เกิน 5 ซิมต่อคน และควบคุมผู้ที่เคยมีประวัติบัญชีม้าให้เปิดบัญชีใหม่ได้เพียงบัญชีเดียว

รัฐบาลประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์เป็น "วาระแห่งชาติ" โดย 15 หน่วยงานร่วมลงนาม MOU เพื่อผนึกกำลังต่อสู้กับแก๊งสแกมเมอร์

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้นำทีมหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน และองค์กรด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยี 15 แห่ง ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อผนึกกำลังในการ ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยประกาศชัดว่านี่คือ "ก้าวสำคัญของประเทศไทย" และคือการประกาศ "สงคราม" เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยสแกมเมอร์ที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น และจิตใจของคนไทย

รวมพลัง 15 หน่วยงาน "ผนึกกำลังระดับชาติ"

พิธีลงนามครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวของทุกเสาหลักที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ความมั่นคง และกฎหมาย โดยมีผู้ร่วมลงนามหลักๆ เช่น

  • หน่วยงานด้านการเงิน/กำกับดูแล : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงาน ก.ล.ต., สมาคมธนาคารไทย, สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
  • หน่วยงานด้านกฎหมาย/ความมั่นคง : สำนักงาน ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), กระทรวงยุติธรรม
  • หน่วยงานด้านการบริหาร/เทคโนโลยี : กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), สำนักงาน กสทช.
  • หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง : กระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงการต่างประเทศ

นายอนุทิน ย้ำชัดว่า อาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้กลายเป็น "ภัยความมั่นคงอันดับต้นๆ ของประเทศ" ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและชื่อเสียงอย่างประเมินค่าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงประกาศให้เป็น "วาระแห่งชาติ" พร้อมสนับสนุนทั้งงบประมาณ เทคโนโลยี และบุคลากร เพื่อทำให้ไทยเป็น "ดินแดนต้องห้ามของสแกมเมอร์"

เปิดคลัง "อาวุธทางยุทธศาสตร์" 5 ปฏิบัติการ "สงครามสแกมเมอร์"

นายกรัฐมนตรีระบุว่า MOU นี้ไม่ได้เป็นเพียงเอกสาร แต่คือ "อาวุธทางยุทธศาสตร์" ที่จะใช้ในการต่อสู้กับมิจฉาชีพ โดยมี 5 มาตรการหลัก ที่จะปฏิบัติการอย่างเร่งด่วน

  1. บังคับใช้กฎหมายเฉียบขาด ดำเนินคดีทั้งผู้กระทำผิดและ ผู้สนับสนุนเบื้องหลัง โดยไม่ละเว้น
  2. บูรณาการข้อมูล สร้างระบบเชื่อมโยง ข่าวกรองและการสืบสวนข้ามหน่วยงาน เพื่อไล่ล่าเครือข่าย
  3. ยึดทรัพย์ทันที ใช้มาตรการ อายัดและยึดทรัพย์สิน อย่างรวดเร็ว เพื่อตัดเส้นทางการเงินและขบวนการฟอกเงิน
  4. ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI นำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการตรวจจับเส้นทางเงินและพฤติกรรมของมิจฉาชีพ
  5. สร้างภูมิคุ้มกันประชาชน เร่งรณรงค์ให้ความรู้เพื่อให้ประชาชน รู้เท่าทัน และมีส่วนร่วมในการ แจ้งเบาะแส

นายกฯ ประกาศกร้าว "ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยความหนักแน่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหา และประกาศต่อหน้าผู้บริหารทุกหน่วยงานว่า:

"ผมจะไม่มีวันที่จะต้องเกรงใจใครที่ตั้งใจจะมาทำร้ายประชาชนของผม ขอให้ประชาชนมั่นใจ วันนี้ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์ เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีเกี้ยเซียะ มีแต่ลุยลูกเดียว"

คำกล่าวนี้เป็นการยืนยันความตั้งใจที่จะดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีการประนีประนอมหรือการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการสแกมเมอร์

ภารกิจเร่งด่วน! ไล่ล่า "ศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก"

ในด้านปฏิบัติการภาคพื้นดิน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เปิดเผยถึงแผนการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ เพื่อติดตามภารกิจสำคัญในการ ส่งตัวผู้กระทำผิดข้ามแดน จาก KK Park เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งถูกระบุว่าเป็น "ศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก"

ผู้ต้องหาเหล่านี้หลบหนีเข้ามาในไทยหลังเมียนมาดำเนินการกวาดล้าง และรัฐบาลไทยจะดำเนินการส่งกลับประเทศต้นทาง พร้อมเร่งตรวจสอบและปิดช่องทางการใช้ประเทศไทยเป็นฐาน ฟอกเงิน หรือเป็น ทางหลบหนี ทางกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด

มาตรการเด็ด "ตัดวงจร" สแกมเมอร์ จำกัดซิม-คุมบัญชีม้า-สกัดซิมบ๊อกซ์

นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ออกมาเปิดเผยมาตรการเชิงรุกและแนวทางใหม่ที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในการ "ประกาศสงครามกับสแกมเมอร์" ร่วมกับ 15 หน่วยงาน โดยเน้นการโจมตีไปที่ จุดเริ่มต้น และเส้นทางการเงิน ของขบวนการมิจฉาชีพ

มาตรการ "จำกัดซิม" และคุม "ซิมบ๊อกซ์"

ดีอีได้พุ่งเป้าไปที่ "ซิมการ์ด" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ในการหลอกลวง โดยมีการยกระดับการควบคุม 2 ส่วนหลัก

  • จำกัดจำนวนซิม จำกัดให้เหลือเพียง 5 ซิมต่อบุคคล หากต้องการเพิ่มซิมมากกว่า 5 ซิม ต้องขอเป็นการเฉพาะราย และต้องส่งชื่อให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ตรวจสอบ ก่อนอนุมัติควบคุมการใช้ซิมโทรศัพท์ในการกระทำความผิด และป้องกันการเปิดซิมจำนวนมากเพื่อส่งต่อให้แก๊งมิจฉาชีพ
  • ควบคุมซิมบ๊อกซ์ (Simbox) กำหนดให้ชิ้นส่วนที่แยกกันมาประกอบซิมบ๊อกซ์ ต้องลงทะเบียนชี้แจงที่มาและการนำเข้า เพื่อนำข้อมูลส่งให้ ตร. ทำประวัติสกัดการใช้อุปกรณ์ Simbox ซึ่งเป็นเครื่องมือรวบรวมสัญญาณโทรศัพท์และซิมการ์ดจำนวนมากในพื้นที่เดียวกัน อันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของกระบวนการสแกมเมอร์
  • สกัดสัญญาณต่างประเทศ ตรวจสอบและสกัด สัญญาณโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ที่อาจเล็ดลอดเข้ามาเพื่อใช้ในการหลอกลวง โดยร่วมมือกับ กสทช.ปิดช่องทางที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้สัญญาณข้ามแดนเพื่อโทรหลอกลวงคนไทย

มาตรการ "จัดการบัญชีม้า" 

เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเงินที่ได้จากการหลอกลวง นายไชยชนกเปิดเผยถึงนโยบายเชิงรุกในการควบคุมผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับ "บัญชีม้า" ดังนี้

  • ผู้ต้องหาบัญชีม้า "แถวที่ 1 และ 2": หลังการตรวจสอบและยืนยันว่าเป็นบัญชีม้าแล้ว บุคคลเหล่านั้นจะ เปิดบัญชีธนาคารได้อีกเพียง 1 บัญชี เท่านั้น เพื่อใช้ในการครองชีพ
  • ระยะเวลากำหนด: ไม่สามารถเปิดบัญชีใหม่ได้อีกจนกว่าคดีจะสิ้นสุด หรือในกรอบเวลา 3 ปี
  • มาตรการขั้นสูงสุด: หากพบการกระทำผิดซ้ำซ้อนภายในช่วง 3 ปีนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้พิจารณาถึงการ ห้ามเปิดบัญชีได้ตลอดชีวิต (อยู่ระหว่างการศึกษา)

ยกระดับกฎหมายและแพลตฟอร์ม 

ดีอีกำลังเร่งดำเนินการด้านกฎหมายและเทคโนโลยีเพื่อตอบโต้สแกมเมอร์

  • ยกระดับ พ.ร.ก. ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อให้หน่วยงานมี เครื่องมือและอุปกรณ์ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการตอบโต้และยับยั้งกระบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
  • คุมเข้มแพลตฟอร์มออนไลน์ มอบหมายให้ ETDA (เอ็ตด้า) ศึกษาการร่างกฎหมายเพื่อบังคับให้มีการ ยืนยันตัวตน ในการทำธุรกรรมซื้อขายออนไลน์ และหากถูกรายงาน (Report) บ่อยครั้ง จะต้องมีการยืนยันตัวตนอีกครั้ง

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศปอส.ตร. ได้อัพเดตสถานการณ์สแกมเมอร์ในประเทศไทย

ตัวเลขความเสียหาย: ปัจจุบัน สถานการณ์ยังคงทรงตัว โดยมีผู้ตกเป็นเหยื่อเฉลี่ย 1,000 รายต่อวัน สร้างความเสียหายเฉลี่ย 70 ล้านบาทต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ผลจากการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ การอายัด/ระงับบัญชีเพิ่มสูงขึ้น และโครงการ "Money Cash Back" ที่นำเงินคืนผู้เสียหายก็มีอัตราสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา มีการส่งเงินคืนผู้เสียหายแล้วกว่า 60 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมความเสียหายที่นำกลับมาได้ มากกว่า 200 ล้านบาท

related