
SHORT CUT
กัมพูชาเผชิญวิกฤต 3 มิติ ถูกคว่ำบาตรฐานเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ นำสู่การยึด Bitcoin 15,000 ล้านดอลลาร์ และแรงกดดันทางการทูต-ชายแดน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากัมพูชาได้ถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมคาสิโน แต่การเติบโตนี้ได้มาพร้อมกับเงาที่มืดมิด นั่นคือการผงาดขึ้นของการเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติระดับโลก
ภาวะที่กัมพูชาเผชิญอยู่ในขณะนี้จึงไม่ใช่แค่ความท้าทายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นแรงกดดันจากนานาชาติที่เข้ามาพร้อมกันหลายทิศทางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ประเทศต้องเผชิญกับ "ศึกรอบด้าน" ที่กระทบทั้งความมั่นคง การเงิน และชื่อเสียงในเวทีโลก
แรงกดดันที่เข้ามากัมพูชานั้นมีหลายมิติ ตั้งแต่ศึกความมั่นคงตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ไปจนถึงการดำเนินการทางกฎหมายและการเงินที่เข้มงวดจากโลกตะวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ซึ่งมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างอำนาจทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีปฏิบัติการตอบโต้ทางการทูตจากพันธมิตรในภูมิภาคอย่างเกาหลีใต้ และการเพิ่มกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนกับเวียดนาม
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการที่นานาชาติไม่ได้มองปัญหาอาชญากรรมเหล่านี้เป็นเพียง 'อาชญากรรมทั่วไป' อีกต่อไป แต่สหรัฐฯ ได้ยกระดับภัยคุกคามนี้ให้เป็นปัญหาขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Criminal Organization - TCO)
โดยมี เฉิน จื้อ (Chen Zhi) และ Prince Group เป็นศูนย์กลางของการโจมตีทางกฎหมายและการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน
The Prince Group และมิติทางการเงินระดับโลก ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
จุดศูนย์กลางของวิกฤตความเชื่อมั่นที่กัมพูชาเผชิญอยู่คือ นายเฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักในชื่อ "Vincent" ผู้ก่อตั้งและประธานของ Prince Holding Group (Prince Group) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ในกัมพูชา
กลุ่มบริษัทนี้มีอิทธิพลอย่างมากในภาคอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และธุรกิจอื่นๆ ในประเทศ การผงาดขึ้นของ Chen Zhi เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมาพร้อมกับอิทธิพลทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายงานว่าเขาเคยได้รับบทบาทที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย
ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่กับโครงสร้างอำนาจในประเทศ นอกจากนี้ เฉิน จื้อ ซึ่งเกิดในประเทศจีนในปี 2530 ได้รับสัญชาติกัมพูชา และยังถูกระบุว่าได้ซื้อสัญชาติในไซปรัสและวานูอาตูอีกด้วย
การถือครองสัญชาติหลายประเทศและการมีเครือข่ายธุรกิจที่ซับซ้อนในระดับสากล ทำให้การดำเนินการทางกฎหมายต่อเขาเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ในเดือนตุลาคม 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยกระทรวงการคลัง (OFAC/FinCEN) ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสหราชอาณาจักร (FCDO) เพื่อดำเนินมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่และถือเป็นการดำเนินการที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้กำหนดให้ Prince Group เป็น องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (Prince Group TCO) และคว่ำบาตรเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง 146 ราย
การดำเนินการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การขึ้นบัญชีดำบุคคลเท่านั้น แต่ได้มีการใช้กลไกทางกฎหมายที่รุนแรงเพื่อตัดขาดเส้นทางการเงิน โดย FinCEN ได้ตัดขาด Huione Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริการทางการเงินในกัมพูชา ออกจากระบบการเงินของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ภายใต้มาตรา 311 ของกฎหมาย USA PATRIOT Act หลังพบว่าบริษัทนี้ได้ฟอกเงินที่ได้จากการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัลไปแล้วกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การใช้เครื่องมือระดับ TCO และมาตรา 311 ซึ่งปกติใช้ในการต่อต้านการก่อการร้ายและการฟอกเงินขนาดใหญ่ เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ มองว่าเครือข่ายอาชญากรรมนี้เป็นภัยคุกคามระดับความมั่นคงแห่งชาติที่ทำลายอธิปไตยทางการเงินของตนเอง
ข้อกล่าวหาที่เป็นทางการต่อ เฉิน จื้อและ Prince Group คือการดำเนินธุรกิจฉ้อโกงรูปแบบ "Pig Butchering" (การหลอกให้เหยื่อลงทุนในคริปโตผ่านความสัมพันธ์หลอก) โดยใช้แรงงานที่ถูกค้ามนุษย์และถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์ปฏิบัติการ scam compounds ทั่วกัมพูชา
มีการระบุว่า เฉิน จื้อ ถูกกล่าวหาว่าสั่งการความรุนแรงต่อแรงงานทาส อนุญาตให้มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ต่างชาติ และใช้ธุรกิจอื่นๆ เช่น การพนันออนไลน์และการขุดคริปโต เพื่อฟอกเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังได้ร่วมมือในการอายัดทรัพย์สินของ เฉิน จื้อ ในลอนดอน ซึ่งรวมถึงคฤหาสน์หรูมูลค่า 12 ล้านปอนด์ด้วย
Bitcoin 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การยึดทรัพย์สินครั้งประวัติศาสตร์
มาตรการที่สร้างความตกตะลึงมากที่สุดคือการที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ได้ประกาศการยึดทรัพย์สินทางแพ่ง ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวง โดยสามารถยึด Bitcoin (BTC) ได้ถึง 127,271 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Bitcoin จำนวนนี้ถูกระบุว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงและการฟอกเงินของกลุ่ม Chen Zhi และปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลสหรัฐฯ
DOJ ได้ตั้งข้อหาต่อ เฉิน จื้อ ในฐานสมคบคิดฉ้อโกงทางโทรเลขและฟอกเงิน
อัยการสหรัฐฯ ได้ระบุถึงปฏิบัติการนี้ว่าเป็น "หนึ่งในปฏิบัติการฉ้อโกงการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์" การดำเนินการนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการติดตามและยึดคืนสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่ และเป็นการประกาศเชิงนโยบายระดับโลกว่า อาชญากรรมในยุค Web3 จะไม่สามารถหลบเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายได้ โ
ดยการวิเคราะห์เส้นทางการเงินจาก Chainalysis ชี้ให้เห็นว่าเงินส่วนใหญ่ของ เฉิน จื้อ ประมาณ 14.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ถูกรวมไว้ในคลัสเตอร์เดียว ซึ่งยืนยันบทบาทของสกุลเงินดิจิทัลในฐานะเครื่องมือหลักในการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมนี้
แรงกดดันทางกฎหมายยังขยายไปยังศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างสิงคโปร์ด้วย ตำรวจสิงคโปร์ (SPF) ได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบคดีและประสานงานกับหน่วยงานในประเทศอื่นๆ เพื่อทบทวนความเชื่อมโยงทางการเงินของ Prince Group กับศูนย์กลางธุรกิจของสิงคโปร์
การตรวจสอบของสิงคโปร์เน้นไปที่การจัดตั้ง "Family Office" (สำนักงานบริหารจัดการทรัพย์สินของครอบครัว) ที่เกี่ยวข้องกับ เฉิน จื้อ ในปี 2561 ซึ่งอาจมีการละเมิดข้อกำหนดและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างไม่ถูกต้อง
การที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินที่มีกฎระเบียบเคร่งครัดเข้ามาร่วมตรวจสอบในคดีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ใช้ช่องโหว่ของระบบการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายในอาเซียนเพื่อฟอกเงิน ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของทั้งภูมิภาค
นอกเหนือจากแรงกดดันจากชาติตะวันตกแล้ว กัมพูชายังต้องเผชิญกับการตอบโต้จากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่สำคัญ ปัญหาหลักคือการขยายตัวของแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาที่หลอกลวงพลเมืองเกาหลีใต้ให้ไปทำงาน หรือตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงหลายพันคนต่อปี
ความตึงเครียดนี้พุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุดจากกรณีที่มีการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ที่ถูกหลอกให้ทำงานในศูนย์อาชญากรรม ซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงในเกาหลีใต้
นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาต้องออกมาแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและให้คำมั่นว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจับกุมผู้ต้องสงสัยและสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของพลเมืองเกาหลีใต้ในกัมพูชา
รัฐบาลเกาหลีใต้ตอบโต้อย่างแข็งกร้าวเพื่อปกป้องพลเมืองของตน โดยได้ส่งคณะทำงานพิเศษเดินทางถึงกัมพูชาเพื่อคลี่คลายปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ พร้อมกับพิจารณามาตรการคว่ำบาตรเครือข่ายอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องในกัมพูชา
มาตรการที่แสดงถึงความเด็ดขาดทางนโยบายที่สุดคือ การที่เกาหลีใต้ระงับโครงการความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance - ODA) โดยเฉพาะโครงการปรับปรุงการจัดการน้ำในกัมพูชาที่ทำร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ซึ่งเดิมมีกำหนดส่งมอบในปี 2568
การตัดสินใจระงับโครงการ ODA ซึ่งเป็นเครื่องมือทางความร่วมมือและการพัฒนาตามปกติ แสดงให้เห็นว่าเกาหลีใต้กำลังใช้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาเป็น "เครื่องมือลงโทษ" โดยตรง
เพื่อตอบโต้ต่อการที่กัมพูชาล้มเหลวในการควบคุมอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองของตนเอง ซึ่งถือเป็นมาตรการลงโทษทางการทูตที่แข็งกร้าวและไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
วิกฤตสแกมเมอร์ในกัมพูชาไม่ได้สร้างผลกระทบต่อกัมพูชาโดยตรงเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบข้างเคียงต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด
มีรายงานว่าตำรวจเกาหลีใต้ได้ตรวจเข้มการเดินทางของพลเมืองไปยังกัมพูชาที่สนามบิน และสั่งห้ามผู้ที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยเดินทางเพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อ
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้คาดการณ์ว่า ข่าวเสียหายเกี่ยวกับกัมพูชาจะทำให้ความต้องการเดินทางมายังภูมิภาคนี้ลดลงอย่างแน่นอน
เนื่องจากกัมพูชาตั้งอยู่ใกล้กับเวียดนามและไทย ซึ่งเป็นตลาดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่และเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัททัวร์เกาหลีในอาเซียน ความกังวลนี้อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของสายการบินราคาประหยัด (LCCs) ของเกาหลีใต้ โดยคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่สาม
สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชาได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านมีแรงจูงใจร่วมกันในการกดดันให้กัมพูชาเร่งแก้ไขปัญหาแหล่งอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง
ในขณะที่กัมพูชาเผชิญกับวิกฤตอาชญากรรมการเงิน ก็ยังต้องรับมือกับความตึงเครียดด้านความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ได้เกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดน แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงกล่าวหาว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลง
ในส่วนของไทย กองทัพบกได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ที่มีปัญหาและข้อพิพาทล่าสุด (กรณีการบุกรุก) นั้น "ลึกเลยเข้ามาในฝั่งประเทศไทยอย่างชัดเจน" และไม่ได้อยู่ในขอบเขตพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์
ท่าทีของไทยจึงไม่จำเป็นต้องใช้กลไกความร่วมมือคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) สำหรับพื้นที่ที่ไทยถือว่ามีการรุกล้ำอธิปไตยอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของไทยในการยืนยันสิทธิ์ในดินแดนอย่างเด็ดขาด
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ว่าตนยังคงเดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงผ่านการประชุม GBC และ RBC และยืนยันในแนวทางสันติวิธี
พร้อมทั้งกล่าวหาว่า "สงครามจิตวิทยา" และกลอุบายข้อมูลเท็จที่ฝ่ายไทยพยายามใช้เพื่อบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของประชาชนกัมพูชาต้องล้มเหลว ความตึงเครียดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของพรมแดนที่ยังคงเป็นมิติของความขัดแย้งแบบดั้งเดิมที่กัมพูชาต้องเผชิญ
ขณะที่ฝั่งเวียดนามได้มีการสร้างความมั่นคงอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ รัฐบาลเวียดนามมุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่ซับซ้อนตามแนวชายแดน ซึ่งรวมถึงการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และที่สำคัญคือ อาชญากรรมออนไลน์
การที่เวียดนามเร่งรัดกลไกนี้ สะท้อนให้เห็นว่าปัญหา Scammer ในกัมพูชาได้เริ่มส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในและผลประโยชน์ของเวียดนามในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ
หลักการสำคัญที่เน้นย้ำในความร่วมมือนี้คือ "ไม่ยอมให้กองกำลังที่เป็นปรปักษ์ใช้ดินแดนของประเทศหนึ่งเพื่อก่อวินาศกรรมอีกประเทศหนึ่ง" การเน้นย้ำหลักการนี้เป็นสัญญาณว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นนั้นมีเป้าหมายเชิงควบคุมที่ชัดเจน โดยเวียดนามต้องการให้กัมพูชากำจัดแหล่งอาชญากรรมที่สร้างผลกระทบข้ามพรมแดน
สถานการณ์ที่กัมพูชาเผชิญอยู่คือการรวมตัวของวิกฤตหลายมิติพร้อมกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แรงกดดันเหล่านี้สามารถแบ่งได้เป็นสามด้านหลัก
วิกฤตเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าอาณาจักรอาชญากรรมที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Prince Group นั้นไม่ใช่แค่ปฏิบัติการย่อยๆ แต่เป็นเครือข่ายข้ามชาติที่ซับซ้อน โดยมีบริษัทมากกว่า 100 แห่งที่ถูกขึ้นบัญชีคว่ำบาตร
การดำเนินการครั้งนี้จึงเป็นความพยายามระดับโลกในการตัดเส้นทางการเงินขององค์กรอาชญากรรมที่ใช้ประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมายในกัมพูชา
การดำเนินคดีและการคว่ำบาตรต่อ เฉิน จื้อ ได้นำไปสู่คำถามสำคัญเกี่ยวกับธรรมาภิบาลและความโปร่งใสของรัฐบาลกัมพูชา ท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาผ่านโฆษกกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า Prince Holding Group ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายในการดำเนินงานในประเทศ และรัฐบาลจะให้ความร่วมมือก็ต่อเมื่อมีคำขอที่เป็นทางการพร้อมหลักฐานที่เพียงพอจากสหรัฐฯ และอังกฤษ
แต่ท่าทีนี้ได้ถูกมองว่าเป็นการพยายามปกป้องแหล่งรายได้และอิทธิพลทางการเมืองที่ทรงคุณค่า
การที่สหรัฐฯ ตัดสินใจใช้เครื่องมือคว่ำบาตรระดับ TCO และ Global Magnitsky แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่เชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของกัมพูชาในการจัดการกับปัญหาการทุจริตที่ฝังรากลึก
ย้อนกลับไปในปี 2019 สหรัฐฯ เคยคว่ำบาตร Try Pheap ซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่และคนใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ ฮุน เซน ภายใต้กฎหมาย Magnitsky จากข้อหาทุจริตและการใช้กองทัพช่วยในการค้าไม้เถื่อน
การที่ เฉิน จื้อ ได้รับอิทธิพลทางการเมืองอย่างรวดเร็ว และการที่กลุ่มอาชญากรรมบางกลุ่มถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายผู้มีอำนาจ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบันเป็นเพียงรูปแบบใหม่ของการทุจริตข้ามชาติที่ได้รับความคุ้มครองจากโครงสร้างอำนาจรัฐ
แรงกดดันจากนานาชาติในปัจจุบันจึงกำลังทดสอบรัฐบาลฮุน มาเนต อย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยมีเดิมพันคือความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และรัฐบาลถูกกดดันให้ต้องตัดสินใจว่าจะต้อง "มอบตัวหนึ่งในราชาผู้สร้างรายได้" หรือไม่ก็ต้องพยายามถอยห่างจากเขาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระดับโลก
ผลกระทบระยะยาวจาก "ศึกรอบด้าน" นี้จะส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของกัมพูชาอย่างแน่นอน การดำเนินคดีทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์และการตัดความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้จะทำลายภาพลักษณ์ของกัมพูชาในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนที่ปลอดภัย
ซึ่งอาจนำไปสู่ความยากลำบากในการดึงดูดการลงทุนจากตะวันตกและประเทศที่เคร่งครัดด้านกฎระเบียบ
นอกจากนี้ การที่ปัญหาสแกมเมอร์สร้างความหวาดกลัวต่อการเดินทางในภูมิภาค ทำให้ตลาดการท่องเที่ยวที่จำเป็นสำหรับประเทศในอาเซียนตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโอกาสทางเศรษฐกิจของกัมพูชาเอง ความท้าทายที่แท้จริงที่รัฐบาลกัมพูชาเผชิญอยู่
ไม่ใช่เพียงแค่การปราบปรามแก๊งอาชญากรรมในวันนี้ แต่คือการจัดการกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองที่อนุญาตให้องค์กรอาชญากรรมเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็วได้ ท่ามกลางความกังวลของผู้เชี่ยวชาญที่ว่า แม้จะมีการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ แต่การปราบปรามนี้อาจแค่ทำให้เกิด "ช่องว่างสูญญากาศ" (Vacuum Effect) ที่อาจเปิดโอกาสให้กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ เข้ามาแทนที่ในอุตสาหกรรมสแกมที่ทำกำไรมหาศาลนี้แทน
การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจึงต้องรวมถึงการปฏิรูประบบธรรมาภิบาลและการบังคับใช้กฎหมายอย่างแท้จริง
อ้างอิง
TrmLaps / Posttoday / Vietanam / Home / TheGuardian / Justice / Gov / UK / Chaina / ApNews / Indian / Ap / Ryt9 / Thai / Mati / Prd / WtoCenter / Committe / Treasury / Press / TheDiplomat / Dip /