svasdssvasds

"เป็น Messenger ที่มีคุณภาพ" เป้าหมาย ‘สื่อสาธารณะ’ ชื่อ ThaiPBS

"เป็น Messenger ที่มีคุณภาพ" เป้าหมาย ‘สื่อสาธารณะ’ ชื่อ ThaiPBS

สื่อสาธารณะ ชื่อ ThaiPBS ภายใต้ 'วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์' ผู้อำนวยการคนใหม่ ที่เข้ารับตำแหน่งกลางปี 2568 จะมีทิศทางอย่างไร ให้ "เร่าร้อน" และคุ้มค่าภาษี

ตึก... ตึก... ตึก... ตึก…

ในห้องทำงานที่ปิดไฟประดิษฐ์ เพื่อให้แสงจากธรรมชาติได้ทำหน้าที่ของมัน บนชั้น 4 ของอาคารกระจกที่ตั้งอยู่ริมถนนวิภาวดี-รังสิต ผู้บริหารสูงสุดของ ‘สื่อสาธารณะ’ ที่จัดตั้งตาม พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ใช้การเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ เพื่อสื่อถึงจังหวะการทำงานที่เปลี่ยนไป หลังเข้ารับตำแหน่งได้ 3 เดือนเศษ

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

“ในแง่การทำงานมันก็เร็วขึ้น Active ขึ้น เพราะเป้าหมายที่เราตั้งไว้ มันไม่ได้หมายความถึงเฉพาะ Rating แต่มันส่งผลเรื่องการทำงานโดยรวมทั้งระบบ”

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ในวัย 64 ปี สื่อสารมวลชนที่มีประสบการณ์ทำงานมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ ทั้งในฐานะนักเขียน-นักข่าว ทั้งในองค์กรสื่อกระดาษมาจนถึงสื่อโทรทัศน์ และตำแหน่งปัจจุบันคือ ‘ผอ.ไทยพีบีเอส’ กล่าวถึงความเปลี่ยนภายใน หลังจากเขาและทีมงาน รอง ผอ.ไทยพีบีเอส อีก 3 คน ได้แก่ พิเศษ จียาศักดิ์, สมชัย พุทธจันทรา และอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ เริ่มงานพร้อมกัน เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

‘เป้าหมาย’ ที่วันชัยตั้งให้กับทีมงานของไทยพีบีเอส คือการผลักดัน rating ของช่องโลโก้ นกส้ม นี้ ให้ติด TOP10 ของวงการทีวีไทย ภายในสี่ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง (ที่ผ่านมา Rating ของไทยพีบีเอสจะอยู่ในลำดับที่ 13-14)

แม้การขยับตัวของทีวีสาธารณะนี้ จะยังไม่เร็วจี๋เป็นจังหวะ ตึกๆๆๆๆๆ เท่าทีวีเชิงพาณิชย์ ที่ต้องเร่งแข่งขัน และแสวงหาผลกำไร เพื่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดได้ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ

“การกำหนดเป้าหมายเรื่อง Rating มันเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ทั้งองคาพยพรู้ว่า เมื่อเข้าสู่สนามแข่ง มันก็ต้องปรับตัว ทั้งรูปแบบการทำงาน และการผลิตคอนเทนต์” วันชัยสรุป

1. ‘เรือธง’ กับเป้าหมายระยะสั้น

การทำงานที่กระฉับกระเฉงขึ้นของไทยพีบีเอส เป็นผลมาจากการปรับผังรายการ โดยเฉพาะรายการ ‘ข่าวค่ำ’ ตั้งแต่ปลายเดือน กันยายน พ.ศ. 2568 ที่ขยับเวลาจากเริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. มาเป็นเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. หรือเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง พร้อมขยายเวลาของรายการเป็น 2.30 ชั่วโมงเต็ม

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลง คือการดึง ‘กรุณา บัวคำศรี’ มาเป็นพิธีกรรายการตอบโจทย์ ที่ออกอากาศระหว่างเวลา 20.30 – 21.00 น. หลังข่าวค่ำ ที่วันชัยบอกว่า เป็น Super Prime Time ของช่อง

“คอนเทนต์เรือธง (Flagship) ของช่อง แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ข่าว’ อยู่แล้ว เพราะมันเป็นเนื้อหาแทบจะ 40-50% ของสถานี อย่างรายการตอบโจทย์ที่ดึงกรุณามาเป็นผู้ดำเนินรายการ ก็เพื่อให้เป็นแม่เหล็ก (Magnet) ถ้าเราจะดัน Rating อย่างไรก็ต้องสู้ด้วยข่าว แม้มันอาจจะใช้เวลา

“เรื่องข่าวก็เริ่มมีฟีดแบกในแง่ดี วันก่อน คณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส ก็เรียกไปถามว่า ทำไมข่าวต่าง ๆ ดูดีขึ้น ก็ตอบไปว่า เพราะผู้บริหารไปบอกกับทีมงานว่า จะทำอะไร ถ้าคิดว่าถูกต้อง ให้ทำอย่างเต็มที่ แล้วผู้บริหารจะรับผิดชอบเอง มันเลยเป็นตัวทำลายสิ่งที่เคยเป็นอุปสรรค จากที่สมัยก่อน อะไรที่เขาไม่แน่ใจ ก็จะไม่กล้าทำ เพราะกลัวมีปัญหา กลัวถูกร้องเรียน เลยต้องเซ็นเซอร์ตัวเองไว้ก่อน แต่ตอนนี้ทุกคนก็มั่นใจมากขึ้น”

ผอ.ไทยพีบีเอสคนปัจจุบัน ยังเล่าต่อถึงคอนเทนต์เรือธงที่เตรียมไว้ในปีหน้า เช่น ซีรีส์คอร์รัปชั่น 8 ตอน ที่อาจจะเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ตึกหน่วยงานราชการบางแห่งถล่ม, รายการเรียลลิตี้คนพิการ ที่จะสื่อสารให้เห็นพลังของคนพิการ ไม่ใช่เพื่อความสงสาร, สารคดีสามัญชนคนธรรมดา เล่าถึงคนธรรมดาที่มีความสำคัญ เช่น จิตร ภูมิศักดิ์, กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นต้น

นอกจาก ‘ปรับวิธีทำงาน-วางเป้าหมายที่ชัดเจน’ อีกภารกิจเร่งด่วนของวันชัย คือปรับปรุงการใช้งบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากที่ปัจจุบัน องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ที่ทุกคนติดปากเรียกกันสั้น ๆ ว่า ไทยพีบีเอส ขาดทุนอยู่ปีละประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งที่องค์กรนี้มีรายได้จากภาษีสุราและยาสูบ 2,000 ล้านบาท/ปี ไม่รวมถึงเงินที่ได้จากการให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัล (MUX) อีก 300-400 ล้านบาท/ปี

โดยผู้บริหารไทยพีบีเอสชุดปัจจุบัน ตั้งใจจะลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด พร้อมกับมีนโยบายประหยัดไฟเมื่อไม่ได้ใช้ ร่วมกับโครงการติดตั้ง Solar Rooftop ที่คาดว่าจะช่วยประหยัดเงินราว 10% จากค่าไฟที่สถานีจ่ายอยู่ 30 ล้านบาท/ปี

“เราพยายามจะใช้เงินที่ได้รับมาปีละ 2,000 ล้านบาทอย่างคุ้มค่า เพราะไทยพีบีเอสไม่ได้มีภารกิจแค่ทีวี แต่ยังมีภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนักข่าวพลเมืองที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ, มีแพลตฟอร์ม OTT ที่ชื่อ VIPA, มีสื่อออนไลน์ที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ทั้ง The Active และ Decode, มี Policy Watch ที่จะช่วยจับตานโยบายสาธารณะ และมี ThaiPBS World ที่จะทำให้ชาวต่างชาติรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย และจะเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง เมื่อเขาพูดถึงประเทศไทย”

อีกสิ่งที่เขาย้ำกับทีมเสมอ คือการทำงานร่วมกันระดับ ‘ศูนย์’ และ ‘สำนัก’ ภายในไทยพีบีเอส ที่มีรวมกัน 18 ศูนย์/สำนัก ภายใต้คีย์เวิร์ด Cross-functional ซึ่งรูปธรรมการทำงานร่วมกันเริ่มชัดเจน ตั้งแต่มีการปรับผังรายการโดยเฉพาะข่าวค่ำ ไปจนถึงเหตุการณ์พิเศษอย่างการถ่ายทอดสดการเคลื่อนขบวนพระบรมศพพระพันปีหลวง ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ทั้งหมดคือภารกิจระยะสั้น ที่วันชัยเริ่มดำเนินการไปแล้ว 1.ปรับผัง on air ของสถานี เพิ่มคุณภาพรายการข่าว 2.วางเป้าหมายผลักดัน Rating ให้ติด TOP10 ภายในสี่ปี 3.ใช้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4.ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันภายในองค์กร หรือ Cross-functional

 

2. บทบาท ‘สื่อสาธารณะ’ ในระยะยาว

จากข้อความที่ถูกกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.จัดตั้งองค์กร เมื่อปี พ.ศ. 2551 ให้ยังต้องทำหน้าที่ ‘โทรทัศน์’ อยู่ แม้ผ่านสองทศวรรษ คนดูโทรทัศน์จะน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่คำถามว่า ในอนาคต ไทยพีบีเอสยังจำเป็นต้องเป็นทีวีอยู่หรือไม่

ผอ.ไทยพีบีเอสคนปัจจุบัน ตอบว่า แม้คนไทยจะหันไปบริโภคข่าวสารจากออนไลน์มากขึ้น แต่ ‘สื่อสาธารณะ’ นี้ ก็ยังต้องมี ‘โทรทัศน์’ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการนำเสนอ เพราะการดูข่าวสารในโลกออนไลน์ เหมือนจะฟรี แต่แท้จริงแล้วมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าอินเทอร์เน็ต ขณะที่ทีวีถือเป็น Free Media ที่เข้าถึงคนได้ในวงกว้างทั้งเมืองและชนบท

เขามองว่า บทบาทปัจจุบันของไทยพีบีเอสคือ Content Provider แปลว่า หากผลิตคอนเทนต์ที่ได้คุณภาพ จะไปสู้ที่สนามไหนก็ได้ ไม่ว่าจะทีวีหรือออนไลน์

คู่ขนานกัน ไทยพีบีเอสจะพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับเผยแพร่คอนเทนต์ออนไลน์ อย่าง VIPA ให้เป็น ‘OTT แห่งชาติ’ เพื่อให้คอนเทนต์แบบไทย ๆ มีที่ปล่อยของ แข่งกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix, Prime Video, HBO, Disney+, VIU ฯลฯ

การปรับรูปแบบการทำคอนเทนต์ให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ยังเป็นที่มาของการคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ช่อง ALTV (ย่อมาจาก Active Learning TV) หรือทีวีช่องเด็ก ให้กับ กสทช. แต่วันชัยย้ำว่า ยังให้ความสำคัญกับ ‘รายการเด็ก’ เพียงแต่พฤติกรรมคนดูที่เปลี่ยนไป เด็กไม่ดูทีวีแล้ว ไปดูออนไลน์แทน จึงจะนำทรัพยากรไปผลักดันให้รายการเด็กบนออนไลน์ และที่เผยแพร่ในช่องหลัก ในวันเสาร์-อาทิตย์ ระหว่างเวลา 06.00-08.30 น. ให้แข็งแรงขึ้นแทน เพื่อเป็นรายการที่ดูได้ทั้งครอบครัว

“ถึงจะคืนใบอนุญาตไปแล้ว แต่เราไม่ได้ยุบรายการเด็กไปเลย เพียงแต่พิจารณาช่องทางที่ลงทุนไปแล้วจะคุ้มค่า ในเมื่อเด็กดูทีวีน้อยลง เราก็ไปเผยแพร่ในออนไลน์ ขณะเดียวกันก็จะพัฒนา E-Learning ให้เป็นหลักสูตรที่ครูกับเด็กได้ทำงานร่วมกัน ..จะได้เห็นว่า ไทยพีบีเอสให้ความสำคัญกับการศึกษามาโดยตลอด ภารกิจนี้ยังอยู่อย่างชัดเจน ไม่ได้ทิ้งเลย”

ระหว่างสัมภาษณ์วันชัย ได้กล่าวถึงคำว่า “มาตรฐาน” “คุณภาพ” และ “ความน่าเชื่อถือ” อยู่หลายครั้ง

“ความน่าเชื่อถือจะเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของข่าว หรือรายการอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับข่าว เราจะพยายามพัฒนาคุณภาพคอนเทนต์ ทั้ง News และ Non-news ให้ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ เป็นที่วางใจได้ ในสถานการณ์ที่ Fake News หรือ Misinformation มันเพิ่มมากขึ้น ในช่วงเวลาที่ใครก็สามารถผลิตข่าวสารออกมาได้หมด แต่สุดท้ายอยู่ที่ว่าผู้ชมจะเชื่อใคร”

โดยสรุป เป้าหมายในระยะปัจจุบันถึงอนาคต ของวันชัย คือการพัฒนาคอนเทนต์ของไทยพีบีเอสให้มี ‘คุณภาพ’ พอจะไปเผยแพร่ในแพลตฟอร์มไหนก็ได้ แต่ไทยพีบีเอสยังจำเป็นต้องเป็นโทรทัศน์อยู่ เพื่อให้สามารถกระจายข่าวสารได้ในวงกว้าง ขณะเดียวกัน จะสร้างแพลตฟอร์ม OTT แห่งชาติ ให้เป็นศูนย์รวมคอนเทนต์ไทย ได้มีพื้นที่เผยแพร่ สู้กับสตรีมมิ่งต่าง ๆ ของต่างชาติ

 

3. ล้างภาพ ‘ทีวีเอ็นจีโอ’ เพื่อเป็น ‘สื่อของประชาชน’

นอกจากคำว่า “เร่าร้อน” ที่กลายเป็น Slogan ประจำตัวของวันชัย ซึ่งเกิดจากคำพูดระหว่างแสดงวิสัยทัศน์ ในขั้นตอนการสรรหาเป็น ผอ.ไทยพีบีเอส

มีอีกบางประโยค ซึ่งคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของสื่อสาธารณะริมถนนวิภาวดีนี้ ทั้งคนนอก-คนใน ให้ความสนใจ คือจุดยืนเรื่องการล้างภาพจำความเป็น ‘สื่อ NGO’ และบทบาทของไทยพีบีเอส ที่จะต้อง “ไม่ชี้นําสังคม แค่นำข้อเท็จจริงมาตีแผ่”

วันชัย ขยายความประโยคแรกว่า เราจะเป็นสื่อของประชาชน ซึ่งคำว่าประชาชน หมายถึงทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเป็นสื่อที่ประชาชนทุกฝ่ายหวังพึ่งได้ เช่น ที่ผ่านมา เราอาจจะไม่เคยสนใจภาคธุรกิจหรือภาคธุรกิจ เราก็จะหันมาสนใจมากขึ้น ไม่ใช่ถึงขนาดไม่ทำข่าวเลย แน่นอนว่า เราจะยังคงจุดยืนเรื่องการเป็นพื้นที่ให้กับคนที่มีปากเสียงน้อย (Voice of the Voiceless) แต่ถ้าเราเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่าย สามารถสร้างสมดุลให้มากขึ้น คำว่า ‘สื่อ NGO’ ก็จะค่อย ๆ หายไป

สำหรับประโยคหลัง วันชัยค่อย ๆ ขยายความ โดยย้อนเท้าความถึงประสบการณ์ทำงานในแวดวงสื่อสารมวลชนตลอด 40 ปี นับ แต่นิตยสารสารคดี, สถานีโทรทัศน์ PPTV มาจนถึงไทยพีบีเอสว่า นักสื่อสารมืออาชีพจริง ๆ คือคนที่นำ ‘ข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือ’ ไปให้กับคนอ่านคนฟัง ส่วนข้อมูลข่าวสารนั้นจะไปทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไหม ก็เป็นเรื่องที่ตามมา แต่เราไม่ได้มีหน้าที่จะทำข่าวเพื่อการเปลี่ยนแปลง เรามีหน้าที่แค่ดูว่า ข่าวนั้น ๆ มีความน่าสนใจไหม เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนหรือเปล่า ส่วนจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่วาระ (Agenda) ขององค์กร

“อันนี้ต้องชัด เพราะบทบาทของสื่อ มันเป็นแค่ Messenger แต่เราจะเป็น Messenger ที่ดี ส่งของให้ดี มีคุณภาพ

“แน่นอนว่า คนทำงานย่อมหวังว่า ข่าวที่เรานำเสนอไป จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่มีหน้าที่ไปชี้นำใคร หรือออกไปเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหว มันไม่ใช่หน้าที่ของนักข่าว เรื่องนี้ควรจะต้องมีเส้นแบ่งพอสมควร”

ทั้งหมดคือแนวคิด และการทำงาน ในช่วงเริ่มต้นของ ผอ.ไทยพีบีเอสคนปัจจุบัน (คนที่ 5 นับแต่ก่อตั้ง) ซึ่งวางเป้าหมายว่า จะทำงานเพื่อคุณภาพ, ความคุ้มค่า และตอบโจทย์การเป็นสื่อสาธารณะ ที่กำลังจะอายุครบ 18 ปี ในช่วงต้นปี 2569 ที่หากเทียบกับบุคคล ก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะ เปลี่ยนจากวัยรุ่น ช่วงเวลาของการลองผิดลองถูก ไปสู่การเป็นผู้ใหญ่

ท่ามกลางการคาดหวังจากสังคม ที่นับวันยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า สื่อที่ได้เงินจากภาษีของประชาชนปีละกว่า 2,000 ล้านบาทช่องนี้ จะสร้างประโยชน์อะไรให้กับสังคมได้บ้าง จากข้อได้เปรียบด้านทรัพยากรที่มีเหนือสื่ออื่น แถมยังไม่ต้องไปแข่งขันในเชิงพาณิชย์ ไทยพีบีเอส จะสามารถเป็น ‘สื่อสาธารณะ ของ ประชาชนทุกฝ่าย’ ได้จริงหรือไม่ รอติดตามชม

related