
SHORT CUT
ญี่ปุ่นเสี่ยงย้อนกลับสู่ยุคทำงานหนักเหมือนในอดีต? เมื่อผู้นำใหม่ประกาศลบคำว่า “พักผ่อน” ออกจากชีวิตการทำงาน
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ต่อสู้กับภาวะทำงานหนักเกินไปมาหลายสิบปี โดยเฉพาะปัญหา karoshi หรือการเสียชีวิตเพราะทำงานหักโหม ซึ่งเคยสร้างความสะเทือนใจให้สังคมจนรัฐบาลจำเป็นต้องออกกฎหมายจำกัดชั่วโมงโอทีและผลักดันให้คนทำงานมีชีวิตที่สมดุลมากขึ้น ทว่าความพยายามเหล่านั้นกลับต้องสั่นคลอนอีกครั้ง เมื่อซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกาศอย่างหนักแน่นว่าเธอตั้งใจจะ “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” โดยแทบไม่คิดถึงคำว่า work-life balance ในชีวิตตัวเองเลยสักนิด
ไม่นานหลังเข้ารับตำแหน่ง ทาคาอิจิเรียกประชุมทีมงานตอนตี 3 ก่อนเริ่มประชุมงบประมาณในเช้าวันเดียวกัน และยอมรับว่าเธอนอนเพียงวันละสองชั่วโมงเท่านั้น แนวทางการบริหารแบบไม่พักผ่อนนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลความคิดของมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher), อดีตผู้นำอังกฤษผู้ขึ้นชื่อเรื่องการทำงานยาวนาน ซึ่งทาคาอิจิยึดเป็นแรงบันดาลใจ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จุดชนวนความกังวลว่าญี่ปุ่นอาจกำลังถูกดึงกลับไปสู่บรรยากาศ “ทำงานให้ตายคาโต๊ะ” อีกครั้ง
เมื่อทาคาอิจิขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณา “ผ่อนปรนเพดานโอที” ซึ่งปัจจุบันจำกัดไว้ปีละ 720 ชั่วโมง เสียงคัดค้านจากหลายฝ่ายก็ดังขึ้นทันที สหภาพแรงงาน Rengo เตือนว่าตัวเลขนี้เข้าใกล้เขตอันตรายของ karoshi มากพออยู่แล้ว ขณะที่กลุ่มทนายผู้ทำคดีให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากการทำงานหนักต่างออกแถลงการณ์ว่าความเห็นของนายกฯ “ไม่เป็นประโยชน์” และอาจทำลายความคืบหน้าที่สังคมญี่ปุ่นพยายามสร้างมาอย่างยากลำบาก
สถิติล่าสุดก็ยิ่งสะท้อนปัญหาที่คุกรุ่นอยู่ เพราะในปีงบประมาณ 2024 ญี่ปุ่นบันทึกจำนวนผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยจากงานหนักถึง 1,304 ราย เพิ่มจากปีก่อน 196 ราย โดยกว่า 1,000 รายเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิต ทั้งการถูกกดดันจากหัวหน้าและการถูกลูกค้าคุกคาม สิ่งเหล่านี้ชี้ชัดว่าแม้สถานการณ์จะดีขึ้นบ้างหลังโควิด-19 แต่โครงสร้างแรงงานที่บังคับให้คน “แสดงตัวว่าอยู่ที่ทำงานตลอดเวลา” ก็ยังฝังรากลึก และพร้อมจะกลับมาหนักกว่าเดิมหากนโยบายรัฐเปิดช่องให้ทำได้
องค์กร Human Rights Watch จึงเตือนว่า ญี่ปุ่นควรยึดแนวทางของสหประชาชาติที่ระบุชัดว่ารัฐไม่ควรลดมาตรฐานเวลาพัก หรืออนุญาตให้ใครเลือกทำงาน 90 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้ แม้จะเป็นความสมัครใจก็ตาม เพราะในทางปฏิบัติ มันมักกลายเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะในองค์กรที่วัฒนธรรม “อดทนไว้ก่อน” ยังเป็นเรื่องปกติ การผ่อนกฎแรงงานจึงเสี่ยงเปิดทางให้การเอารัดเอาเปรียบยิ่งขยายตัว
ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่า ภาพรวมของวัฒนธรรมการทำงานในญี่ปุ่นกำลังอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ระหว่างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ความคาดหวังของสังคม และสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานที่ต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม การที่ผู้นำประเทศเดินหน้าในทิศทางที่เน้น “ทำงานให้มากที่สุด” อาจทำให้ญี่ปุ่นต้องทบทวนว่าแท้จริงแล้วความก้าวหน้าของประเทศควรแลกด้วยอะไร และชีวิตของคนทำงานควรมีคุณค่ามากแค่ไหน