
SHORT CUT
แม้เขาจะดูเข้มแข็ง แต่ข้างในอาจพังทลาย: ทำความเข้าใจ Cry for Help ที่ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมธรรมดาของผู้ป่วยซึมเศร้า
หลายครั้งคนเราต้องเจอกับช่วงเวลายากลำบากทางใจจนเริ่มส่งสัญญาณบางอย่างออกมา แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเข้มแข็งหรือปกติดี แต่ข้างในอาจเต็มไปด้วยความเครียด ความกลัว หรือความสิ้นหวังที่ไม่รู้จะบอกใครอย่างไร
เพราะปัญหาสุขภาพจิตที่ยังไม่ได้รับการรักษา หรือการผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิต ล้วนทำให้คนเรามีอาการบางอย่างที่บอกว่า “ฉันทนไม่ไหวแล้ว” แม้เขาจะไม่พูดออกมาตรง ๆ ก็ตาม
เมื่อปัญหาหนักเข้ามาพร้อมกันหลายเรื่อง หลายคน โดยเฉพาะเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงานตอนต้น อาจรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ หรือคิดว่าตัวเองควรแก้ปัญหาให้ได้เอง การเข้าใจสัญญาณของความทุกข์ใจจึงสำคัญมาก เพราะบางครั้งสัญญาณเหล่านั้นอาจช่วยให้เราช่วยชีวิตใครสักคนได้
การเข้าใจสัญญาณของพวกเขาจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ เรามักคิดว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลือจะพูดออกมาตรง ๆ แต่ในความจริงพวกเขากลับขอคงามช่วยเหลือทางอ้อม หรือ Cry for Help ที่มักปรากฏผ่านพฤติกรรมที่ดูธรรมดา เช่น คำพูดติดตลกที่แฝงความเหนื่อยล้า ความเงียบที่ผิดปกติ หรือแม้แต่การหายตัวจากสังคมโดยไม่บอกใคร นี่คือสัญญาณจากคนที่เริ่มรับมือกับความทุกข์ไม่ไหวอีกต่อไป และกำลังรอให้ใครสักคนสังเกตเห็น
ข้อมูลจาก SAMHSA หน่วยภายใต้กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐ ระบุว่าสัญญาณของความทุกข์ทางใจที่ควรจับตามีหลายรูปแบบ เช่น การนอนผิดปกติ การกินไม่เป็นเวลา ความเหนื่อยล้าหรือหมดแรงใจ การหลีกเลี่ยงครอบครัวและเพื่อน อาการปวดเรื้อรังที่ไม่รู้สาเหตุ รวมถึงความรู้สึกสิ้นหวัง การใช้สารเสพติด และความคิดอยากทำร้ายตัวเอง คนที่กำลังเผชิญปัญหามักไม่กล้าขอความช่วยเหลือเพราะกลัวถูกมองว่าอ่อนแอ หรือกลัวถูกตัดสิน จึงยิ่งทำให้สัญญาณพวกนี้สำคัญยิ่งขึ้น
แม้บางสัญญาณจะดูเล็กน้อย แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคน ๆ นั้นอาจกำลังอยู่ในจุดอันตราย เช่น พูดถึงความตาย การบอกลาที่ดูแปลกไป การบอกว่าตัวเองเป็นภาระ การขู่ทำร้ายตัวเอง การมอบของสำคัญให้คนอื่น หรือการหาวิธีทำร้ายตัวเอง สัญญาณเหล่านี้ไม่ควรถูกมองข้ามแม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อเห็นว่ามีใครกำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นคุยด้วยความอ่อนโยนและจริงใจ ฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ตำหนิ และไม่รีบให้คำแนะนำจนกว่าเขาจะเล่าออกมาอย่างเต็มที่ การบอกว่า “ฉันอยู่ตรงนี้นะ” อาจมีความหมายมากกว่าที่คิด การค่อย ๆ แนะนำให้เขาพบผู้เชี่ยวชาญ หรือบอกคนที่สามารถช่วยได้ เช่น ครอบครัวหรือบุคคลที่เขาไว้ใจ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้เขาไม่ต้องแบกปัญหาไว้คนเดียว
ไม่ใช่แค่เด็กหรือวัยรุ่นเท่านั้นที่ลังเลจะขอความช่วยเหลือ ผู้ใหญ่ รวมถึงคนที่ทำงานในสายที่ต้องเจอความกดดันหนัก เช่น ตำรวจ กู้ภัย หรือบุคลากรทางการแพทย์ ก็มักไม่กล้าพูดถึงความทุกข์ของตัวเองเพราะกลัวผลกระทบต่อน้ำหนักและงานของตัวเอง การเปิดใจคุยกับพวกเขาด้วยความเคารพและเข้าใจ จึงช่วยลดความกลัวและความอับอายที่กดทับเขาอยู่ได้
สุดท้าย แม้เราจะอยากช่วยคนที่กำลังเจ็บปวดเพียงใด บางสถานการณ์ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทีมงานด้านสุขภาพจิตหรือศูนย์บำบัดเฉพาะทาง ซึ่งมีทักษะและเครื่องมือที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตหนัก การตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นก้าวสำคัญของการเริ่มต้นรักษาตัวเอง
ที่มา : tennesseevalleyrecovery
ข่าวที่เกี่ยวข้อง