
SHORT CUT
รัฐบาลอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรวมกว่า 2,000 ล้านบาท สำหรับการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ 2025 คุ้มค่าภาษีประชาชนจริงหรือ?
การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติอย่างซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2025 ของประเทศไทย มาพร้อมกับงบประมาณก้อนใหญ่ที่หลายคนจับตามอง โดย ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้ให้ภาพรวมว่าใช้งบประมาณราวกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่ประเทศกัมพูชาใช้ในการจัดงานครั้งก่อนถึง 1,000 ล้านบาท
ข้อจำกัดด้านงบประมาณนี้จึงนำมาสู่การจัดสรรทรัพยากรที่ต้องมียุทธศาสตร์สูง โดยไม่เพียงมุ่งเน้นที่ความสำเร็จของการจัดงาน แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างประโยชน์ระยะยาวให้แก่ประเทศ
คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรวมสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ 2025 ซึ่งเป็นตัวเลขตั้งต้นสำหรับการดำเนินงานทั้งหมด โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ปีงบประมาณ 2568: 157,584,000 บาท
- ปีงบประมาณ 2569: 1,343,056,000 บาท
นอกเหนือจากกรอบวงเงินดังกล่าว ยังมีการขอเบิกงบประมาณจาก "งบกลาง" เพิ่มเติมอีก 459 ล้านบาท ซึ่งการขออนุมัตินี้มีความจำเป็นเนื่องจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ถูกตัดงบประมาณประจำปีบางส่วน ทำให้ต้องใช้งบประมาณเสริมเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น
งบประมาณรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ถูกแบ่งออกเป็น 4 ก้อนหลัก แต่ละก้อนมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สะท้อนถึงการจัดลำดับความสำคัญในการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้
งบก้อนแรกจำนวน 455,962,200 บาท ถือเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็นที่สุดเพื่อให้การแข่งขันสามารถเกิดขึ้นได้ เปรียบเสมือนหัวใจที่สูบฉีดให้กลไกต่างๆ ของการจัดงานดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดสำคัญ ได้แก่
รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 320,268,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจงเพื่อ "ปรับปรุงสถานที่ฝึกซ้อมและแข่งขันกีฬาทางน้ำ ภายในสนามกีฬาหัวหมาก"
ความจำเป็นเร่งด่วนของงบก้อนนี้เกิดจากปัญหาที่ว่า "ประเทศไทยยังไม่มีสนามที่ได้มาตรฐานตามที่สหพันธ์กีฬาทางน้ำโลก (World Aquatics) กำหนด" การลงทุนนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้สามารถจัดการแข่งขันได้
การลงทุนนี้แม้จะเกิดขึ้นเพื่อซีเกมส์ แต่ถือเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬาที่สร้างประโยชน์ในระยะยาว ทำให้ไทยมีศักยภาพในการจัดกีฬาระดับนานาชาติในอนาคตได้
งบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ก็เต็มไปด้วยตัวเลขที่น่าตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นงบปรับปรุงห้องน้ำ 40 ล้านบาท และที่น่ากังขาที่สุดคืองบ "ปรับปรุง" สระว่ายน้ำที่สูงถึง 300 ล้านบาท
ตัวเลขดังกล่าวได้จุดประกายคำถามถึงความสมเหตุสมผล เพราะงบประมาณมหาศาลขนาดนี้สามารถใช้ "สร้าง" สระว่ายน้ำมาตรฐานแห่งใหม่ได้เลย ไม่ใช่แค่การปรับปรุงของเดิม
ทั้งนี้เพจเฟซบุ๊ก ฉลามหนุ่มไทยแลนด์ ได้ออกมาเปิดเผยราคาป้ายห้องน้ำสระแข่งว่ายน้ำซีเกมส์ 2025 ซึ่งมีค่าตัวรวม 140,500 บาท แบ่งเป็น ป้ายห้องน้ำตัวอักษรใหญ่ และ ป้ายห้องน้ำตัวอักษรเล็ก โดยมีค่าตัวดังนี้
การจัดสรรงบประมาณ 1,000,000,000 บาท ให้แก่ศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณนับเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในการจัดงานครั้งนี้ โดยมีภารกิจหลักคือ "การจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดวิทยุและโทรทัศน์นานาชาติ (International Broadcast Centre: IBC) และศูนย์ประสานงานสื่อมวลชน (Main Press Centre: MPC)"
หน้าที่ของศูนย์ IBC และ MPC คือการเป็น "แม่ข่ายหลัก" ในการผลิตและส่งสัญญาณการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬากว่า 30 ชนิด ไปยังสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ทั่วโลก พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่สื่อมวลชนจากนานาชาติ
หนึ่งในนโยบายที่ดูเหมือนจะเอาใจประชาชนคือการเปิดให้เข้าชมฟรี แต่ต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ ทว่าเบื้องหลังความใจดีนี้คือค่าพัฒนาแอปที่สูงถึง 80 ล้านบาท ซึ่งสวนทางกับประสิทธิภาพที่ผู้ใช้ได้รับ หลายคนพบปัญหาไม่สามารถใช้งานหรือจองคิวล่วงหน้าได้
สิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้น คือการบังคับใช้ข้อมูลส่วนตัวอย่างบัตรประชาชนในการลงทะเบียน ท่ามกลางคำถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ภาครัฐยังไม่มีคำชี้แจงที่ชัดเจน งบ 80 ล้านบาท แลกมากับแอปพลิเคชันที่แม้แต่การจองคิวพื้นฐานยังทำไม่ได้ นี่คือประสิทธิภาพสูงสุดที่เงินภาษีประชาชนจะซื้อได้จริงหรือ