
อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลรักษาการของอนุทิน ชาญวีรกูล มีแค่ไหน ทำอะไรได้ และ ทำอะไรไม่ได้บ้าง นโยบายสำคัญเรื่องใดสามารถทำได้ และ เรื่องใดต้องหยุด
ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 12 ธันวาคม 2025 ลงนามโดย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ถือเป็นการปิดฉากสภาชุดปัจจุบันและเปิดทางสู่การเลือกตั้งใหม่ ท่ามกลางคำถามสำคัญของประชาชนว่า ในช่วง ‘สุญญากาศ’ ทางการเมืองนี้ ประเทศจะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร และนโยบายที่เคยหาเสียงไว้จะไปต่อหรือพอแค่นี้
อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลรักษาการ และตรวจสอบสถานะร่างกฎหมายสำคัญที่ยังค้างอยู่ในสภา
ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เมื่อฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถเดินหน้าทำงานร่วมกันได้ ‘การยุบสภา’ คือกุญแจสำคัญในการผ่าทางตัน
เหตุผลหลักที่ปรากฏในพระราชกฤษฎีกา สะท้อนให้เห็นถึงวิกฤตความชอบธรรมของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งบริหารงานในฐานะ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 สถานภาพดังกล่าวทำให้การผลักดันกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดินติดขัด ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ หรือความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ ผ่านการเลือกตั้งทั่วไปที่จะต้องเกิดขึ้นภายใน 45-60 วัน เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากกว่าเดิม
เมื่อมีการยุบสภา คณะรัฐมนตรีชุดเดิมจะยังไม่พ้นจากหน้าที่ทันที แต่จะเปลี่ยนสถานะเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ตามมาตรา 168 (1) ของรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยมีหน้าที่ประคองสถานการณ์บ้านเมือง ดูแลงานประจำวันไม่ให้กลไกราชการหยุดชะงัก จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
อย่างไรก็ตาม อำนาจของรัฐบาลรักษาการนั้น “ไม่เต็มใบ” เหมือนรัฐบาลปกติ เพื่อป้องกันความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองในช่วงเลือกตั้ง โดยมี “ข้อห้าม” สำคัญ 4 ประการ ตามมาตรา 169 ดังนี้:
นอกจากนี้ ระเบียบ กกต. ปี 2563 ยังคุมเข้มไปถึงการห้ามจัดประชุม ครม. นอกสถานที่ (ครม.สัญจร) และห้ามใช้งบรัฐจัดอีเวนต์ประชาสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองอีกด้วย
ผลพวงจากการยุบสภา ทำให้กระบวนการนิติบัญญัติทั้งหมดต้องยุติลงทันที ร่างกฎหมายที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะถือว่า “ตกไป” โดยอัตโนมัติ ส่งผลให้นโยบายหลายอย่างที่ประชาชนเฝ้ารอต้องหยุดชะงัก
จากการตรวจสอบสถานะล่าสุด พบว่ามีโครงการและร่างกฎหมายสำคัญที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้:
ไปต่อไม่ได้ (ตกไป/ถูกระงับ)
กลุ่มนี้คือกฎหมายที่ค้างในสภา หรือโครงการที่ต้องใช้วงเงินงบประมาณใหม่ซึ่งรัฐบาลรักษาการไม่อาจอนุมัติได้:
ยังทำได้ (ภารกิจต่อเนื่อง)
ภารกิจด้านความมั่นคงและการบริหารราชการปกติยังคงดำเนินต่อไปได้:
การรักษาความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา: กองทัพและฝ่ายความมั่นคงยังคงปฏิบัติหน้าที่ตรึงกำลังและเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่ได้ตามปกติ เพื่อรักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน
การยุบสภา ของรัฐบาลอนุทิน ครั้งนี้คือการ "รีเซต" ระบบการเมืองไทยอีกครั้ง และเข้าสู่โหมดเลือกตั้งครั้งใหม่ เลือกตั้งปี 2569 แม้จะทำให้การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างผ่านกฎหมายต้องสะดุดลงชั่วคราว แต่ก็นับเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้อำนาจของตนเองอีกครั้งในการกำหนดทิศทางประเทศ ว่าจะมอบความไว้วางใจให้ใครเข้ามาสานต่อนโยบายที่ค้างคาเหล่านี้หลังการเลือกตั้ง
ที่มา : ilaw.or.th bangkokbiznews
ข่าวที่เกี่ยวข้อง