svasdssvasds

เลื่อนจอให้น้อยลง: วิธีง่าย ๆ ต่อสู้ Brain Rot ในชีวิตประจำวัน

เลื่อนจอให้น้อยลง: วิธีง่าย ๆ ต่อสู้ Brain Rot ในชีวิตประจำวัน

เลื่อนให้น้อย ใช้ชีวิตให้มาก: รวมวิธีต่อสู้กับ "Brain Rot" เมื่อโซเชียลมีเดียกำลังดูดพลังสมองของคนยุคใหม่

SHORT CUT

  • Brain rot ไม่ใช่โรค แต่คือสัญญาณเตือนจากการเสพดิจิทัลเกินพอดี การดูคลิปสั้นและเลื่อนโซเชียลต่อเนื่องทำให้สมาธิ ความจำ และแรงจูงใจลดลง โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีตั้งแต่เด็ก
  • งานวิจัยชี้ สมองอาจ “แก่เร็ว” จากโซเชียลและคอนเทนต์รวดเร็ว การใช้โซเชียลมีเดียและ AI อย่างหนักสัมพันธ์กับความสามารถในการจดจำที่ลดลง สมองทำงานด้อยลง และอาการคล้ายสมองเสื่อมก่อนวัย โดย Gen Z เป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด
  • ทางแก้คือดึงสมองกลับสู่ออฟไลน์อย่างตั้งใจ การพักโซเชียล วางมือถือ ทำกิจกรรมออฟไลน์ หรือใช้เครื่องมือดีท็อกซ์ดิจิทัล ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ลดความเครียด และเพิ่มประสิทธิภาพการคิดได้ แม้เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ส่งผลดีระยะยาว

เลื่อนให้น้อย ใช้ชีวิตให้มาก: รวมวิธีต่อสู้กับ "Brain Rot" เมื่อโซเชียลมีเดียกำลังดูดพลังสมองของคนยุคใหม่

คลิปสั้นสาระน้อยที่มีให้เราดูไม่รู้จบบนหน้าจอมือถือ ถ้าเราเสพมากไป อาจทำให้เกิดภาวะ Brain Rot ที่ทำให้หมดสมาธิ และแรงจูงใจลดลง จากการเสพคอนเทนต์ดิจิทัลแบบรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลื่อนโซเชียลมีเดียไม่หยุด แม้ไม่ใช่โรคทางการแพทย์ แต่สะท้อนผลกระทบจริงของโลกออนไลน์ต่อวิธีคิด ความจำ และพลังใจของคนยุคใหม่

นักวิชาการจำนวนหนึ่งเริ่มเตือนว่า การเสพโซเชียลมีเดียมากเกินไปอาจทำให้คนหนุ่มสาวแสดงอาการคล้าย “สมองแก่ก่อนวัย” งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า brain rot เชื่อมโยงกับการถดถอยทางความคิดในคนรุ่นใหม่ และการศึกษาปี 2025 ระบุว่าการใช้ AI และโซเชียลมีเดียอย่างหนักสัมพันธ์กับความสามารถในการจดจำที่ลดลง สมาธิแย่ลง และปัญหาความจำ นอกจากนี้ การทบทวนงานวิจัย 71 ชิ้นโดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกันยังพบว่า การเสพวิดีโอสั้นในปริมาณมากมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานของสมองที่ด้อยลง

คำว่าสมองด้อยลงในที่นี้ สมองไม่ได้เน่าในความหมายตรงตัว แต่เราสร้างสภาพแวดล้อมที่สมองมนุษย์ไม่ถูกออกแบบมาให้รับมือ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่โฟกัสทีละอย่าง แต่ข้อมูลถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ทำให้เราอยากเสพทุกอย่างและหยุดได้ยาก” แม้ใครก็ตามที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะเผชิญภาวะนี้ได้ แต่ Gen Z เปราะบางเป็นพิเศษ เพราะเติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีตั้งแต่ต้น งานวิจัยของ Pew Research ปี 2024 ยังชี้ว่าคนวัย 18–29 ปีพึ่งพาสมาร์ตโฟนมากกว่ากลุ่มอายุอื่น 

เลื่อนจอให้น้อยลง: วิธีง่าย ๆ ต่อสู้ Brain Rot ในชีวิตประจำวัน

วิธีต่อสู้กับ Brain Rot

อย่างไรก็ตาม ทางแก้ก็มีอยู่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีง่ายๆ เช่น กลับถึงบ้านแล้ววางมือถือไว้เฉย ๆ เหมือนยุคที่ยังใช้โทรศัพท์บ้าน หรือบางคนก็ทำ “เมนูโดพามีน” ของตัวเองขึ้นมา แทนการเลื่อนจอ ด้วยกิจกรรมออฟไลน์อย่างเดินเล่นนาน ๆ นั่งสมาธิ หรือทำอะไรเงียบ ๆ กับตัวเองมากขึ้น

ขณะเดียวกัน แอปช่วยดีท็อกซ์ดิจิทัลก็ผุดขึ้นมามากมาย ตั้งแต่ Brick ที่ช่วย “ปิดประตูสิ่งรบกวน” บนหน้าจอ ไปจนถึง Focus Friend ที่เปลี่ยนการตั้งสมาธิให้กลายเป็นเกมเล็ก ๆ ฟังดูเหมือนย้อนแย้ง ใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเทคโนโลยี แต่กลับได้ผลเกินคาด งานวิจัยจำนวนมากชี้ตรงกันว่า การจำกัดเวลาอยู่หน้าจอและเลือกเสพคอนเทนต์อย่างตั้งใจ ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นจริง การศึกษาของวารสาร Behavioral Sciences ยังพบว่า คนหนุ่มสาวจำนวนมากรู้สึกหัวโล่งขึ้น ความเครียดลดลง และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม หลังพักจากโซเชียลมีเดียเพียงแค่สองสัปดาห์เท่านั้น

กระแส “กลับสู่ออฟไลน์” ไม่ได้หยุดอยู่แค่บนหน้าจอ แต่ลามไปถึงพื้นที่จริง ร้านอาหารปลอดมือถือแห่งแรกของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อย่าง Hush Harbor กลายเป็นไวรัลจากบรรยากาศไร้เทคโนโลยี เมื่อเดินเข้าไป ลูกค้าต้องฝากมือถือไว้ในถุงที่ล็อกก่อนจะนั่งกินดื่มและพูดคุยกันแบบเต็มร้อย งานวิจัยล่าสุดยังชี้ว่า กิจกรรมใช้สมองหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เล่นเกม วางแผน แก้ปัญหา ไปจนถึงอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเขียนบันทึก ช่วยกระตุ้น Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการด้านการคิด วิเคราะห์ และสมาธิ และยังเชื่อมโยงกับความยืดหยุ่นทางความคิด รวมถึงทักษะการคิดเชิงระบบที่ดีขึ้นในระยะยาว

เลื่อนจอให้น้อยลง: วิธีง่าย ๆ ต่อสู้ Brain Rot ในชีวิตประจำวัน

ท้ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่า ควรกำหนดช่วงพักโซเชียลมีเดียอย่างตั้งใจ แม้เพียงสั้น ๆ และตั้งตัวเตือนให้วางอุปกรณ์บ้าง “การออฟไลน์เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเริ่มดูแลสุขภาพสมองเร็วเท่าไร ผลลัพธ์ในระยะยาวก็ยิ่งดีกว่าเท่านั้น”

ที่มา : nationalgeographic

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related