
SHORT CUT
จากเด็กเรียนไม่จบ สู่ผู้กำกับระดับตำนาน: เส้นทางชีวิตของเจมส์ คาเมรอน กับความกล้าที่เลือกเดินนอกระบบ และพลังของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
วันนี้ คาเมรอนในวัย 71 ปี คือผู้กำกับเบื้องหลังภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดหลายเรื่องในประวัติศาสตร์โลก ผลงานทั้งหมดของเขาทำรายได้รวมเกือบ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งให้มูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวพุ่งแตะระดับ มหาเศรษฐีพันล้าน โดย Forbes ประเมินว่าทรัพย์สินสุทธิของเขาอยู่ที่ราว 1.1 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขนี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก เมื่อ Avatar: Fire and Ash ภาคล่าสุดของจักรวาลอวตาร เข้าฉายในโรงภาพยนตร์
แต่หากย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่น ความสำเร็จระดับนี้แทบไม่น่าเป็นไปได้เลย คาเมรอนเป็นเด็กหนุ่มชาวแคนาดาที่ลาออกจาก Fullerton College ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะกำลังเรียนฟิสิกส์ เขาลังเลระหว่างสองสิ่งที่รัก วิทยาศาสตร์กับศิลปะ—ก่อนจะตัดสินใจทิ้งระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการไปโดยสิ้นเชิง
แทนที่จะเดินตามเส้นทางปกติ เขาเลือกเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด คาเมรอนสอนตัวเองเรื่องเทคนิคพิเศษ งานออปติคัล และการทำภาพยนตร์ พร้อมทำงานรับจ้างสารพัด ตั้งแต่คนขับรถบรรทุกไปจนถึงภารโรง เพื่อหาเลี้ยงชีพ
เขาเคยเล่าว่า การเรียนภาพยนตร์ของเขาไม่ได้เกิดในห้องเรียน แต่เกิดจากการ “แอบเข้าไป” ใช้ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย USC อ่าน ดู และศึกษาเองทุกอย่าง ความรู้ที่ไม่ได้มีใบปริญญารับรองนี้ กลับกลายเป็นรากฐานสำคัญของอาชีพในเวลาต่อมา
ความพยายามนั้นเริ่มออกดอกผลอย่างจริงจังเมื่อเขาอายุเพียง 30 ปี กับผลงานเรื่อง The Terminator ภาพยนตร์ไซไฟทุนไม่สูงที่กลายเป็นปรากฏการณ์ และทำรายได้มากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก จุดเปลี่ยนครั้งนั้นพาเขาก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของฮอลลีวูด และไม่เคยถอยหลังอีกเลย
หัวใจสำคัญของความสำเร็จ คือทัศนคติที่คาเมรอนยึดถือมาตลอดชีวิต การวิ่งเข้าหาสิ่งที่ตัวเองยังทำไม่เป็น
เขาเคยบอกว่า ตัวเขาถูกดึงดูดโดยสิ่งที่ไม่รู้ เพราะตรงนั้นคือพื้นที่ของการเติบโต และแม้ในอนาคต หากยังได้ทำหนังในวัยชรา เขาก็อยากทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญอยู่ดี
แนวคิดนี้สอดคล้องกับผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เชื่อว่า เป้าหมายในชีวิตมักไม่เคยส่งเสียงดัง แต่จะมาในรูปของ “เสียงกระซิบ” และคนที่ประสบความสำเร็จ คือคนที่ยอมฟังเสียงนั้นอย่างจริงจัง
วันนี้ คาเมรอนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้กำกับไม่กี่คนบนโลกที่มีทรัพย์สินระดับพันล้าน ร่วมกับชื่ออย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก, จอร์จ ลูคัส, ปีเตอร์ แจ็กสัน และไทเลอร์ เพอร์รี และยังสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของนิยามคำว่า “มหาเศรษฐี” ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ซีอีโอหรือเจ้าพ่อเทคโนโลยีอีกต่อไป