ฮีโร่ผู้กอบกู้คือหายนะจริงหรือ? บทเรียนจาก Dune ชี้อันตรายของความศรัทธาที่มืดบอดต่อ 'คนดี' เพราะเมื่อหยุดถาม ผู้นำที่รักอาจกลายเป็นเผด็จการคนต่อไป
“ผมเขียนชุดนวนิยาย ดูน เพราะผมมีความคิดที่ว่าผู้นำผู้มีเสน่ห์ดึงดูดควรจะต้องมีป้ายเตือนแปะอยู่บนหน้าผากว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ” แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารตยสาร Mother Earth News ในปี 1981
แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) คือผู้สร้างจักรวาล Dune นวนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลก โดยเขามีความเชื่อว่าการที่สังคมหนึ่งมัวแต่พึ่งพาฮีโร่หรือวีรบุรุษนั้นคือความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของสังคม ซึ่งวันนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กัน
Dune นวนิยายแนววิทยาศาสตร์ ที่กลั่นมาจากวิธีคิดและมุมมองของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1965 สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้อมตะโลดแล่นเหนือกาลเวลาจนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน ‘สุดยอดหนังสือแห่งศตวรรษที่ 20’ คือการตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของ ‘ฮีโร่’ ซึ่งก็คือ พอล อะเทรดีส
ปัจจุบัน Dune ได้รับการบันทึกว่าเป็นนวนิยายวิทยาศาสตร์-ไซไฟ ที่มียอดขายมากที่สุดในโลก กว่า 20 ล้านเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ 40 ภาษา และถูกพัฒนามาเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับ 2 คน ได้แก่ David Lynch ในปี 1984 และ Denis Villanue ในปี 2021 และภาคที่สองในปี 2024
“แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ตรู้สึกว่าหนังสือเล่มแรกถูกตีความผิดไป เขาเชื่อว่าผู้คนคิดว่าพอลเป็นวีรบุรุษอย่างผิด ๆ ทั้งที่เขาต้องการสร้าง แอนตี้-ฮีโร่ (Anti-hero) เพื่อแก้ไขมุมมองนั้น เขาจึงเขียน Dune Messiah ขึ้นมา เพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนเข้าใจเจตนาของเขา” Denis Villanue ให้สัมภาษณ์ช่วงต้นปี 2024 ก่อน Dune: Part Two ฉาย
ในนวนิยาย พอล อะเทรดีส คือฮีโร่ ผู้กอบกู้ ผู้ปลดปล่อย (Messiah) มูอัดดิบ (Muad'Dib) ในเรื่องเราจะเห็นว่าพอลมี 2 บทบาทคือ ปกครองชาวเฟรเมน (Fremen) ของดาวอาร์ราคิส (Arrakis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดูน (Dune) ซึ่งเป็นดาวทะเลทรายแหล่งเดียวในจักรวาลที่เป็นแหล่งกำเนิดของเครื่องเทศอันล้ำค่า
และบทบาทจักพรรดิ หลังจากได้รับชัยชนะเหนือราชวงศ์โคริโน (Corrino) และมหาตระกูล (Great Houses) อื่น ๆ ในจักรวรรดิ พอล อะเทรดีส ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิคนใหม่ ได้ปกครองจักรวรรดิทั้งหมด รวมถึงควบคุมแหล่งผลิตเครื่องเทศทั้งหมด และทำให้เขามีอำนาจสูงสุดในจักรวาล
ซึ่งที่เฮอร์เบิร์ตชี้ให้เห็นคือการตามหาผู้กอบกู้ (Messiah/Hero) เป็นอันตราย เพราะบุคคลเหล่านี้มักจะมีอำนาจล้นฟ้าที่ยากจะควบคุมได้ในภายหลัง ในสังคมทั่วไป การตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจคือเสาหลักของประชาธิปไตย แต่เมื่อมีวีรบุรุษ ที่ถูกยกย่องให้มีสถานะเหนือมนุษย์ธรรมดา ทุกการกระทำของเขาจะได้รับการนิยามว่าเป็นความจำเป็น หรือความดีงามโดยอัตโนมัติ
ตามตรรกะของวีรบุรุษแล้ว พวกเขาต้องมีอำนาจที่เบ็ดเสร็จ (Absolute Power) เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาระดับโครงสร้างของสังคมได้จริง ในโลกของ Dune พอลจำเป็นต้องควบคุมทุกแง่มุมของจักรวรรดิ รวมทั้งแหล่งผลิตเครื่องเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าวิสัยทัศน์ของเขาจะสำเร็จ
เฮอร์เบิร์ตยังชี้ให้เห็นว่า พอลไม่ได้ตั้งใจก่อสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปสู่การตายของผู้คนหลายพันล้าน แต่เขาไม่สามารถหยุดยั้ง มันได้ เพราะเมื่อเขายอมรับบทบาทเป็นมูอัดดิบ หรือผู้กอบกู้ตามคำพยากรณ์ ชะตากรรมของเขาก็ถูกกำหนดให้ต้องเป็นไปตามอำนาจของลัทธิความเชื่อ
ในแง่นี้ มันสะท้อนว่าวีรบุรุษที่สมบูรณ์แบบ จะไม่เหลือพื้นที่ให้กับการตัดสินใจอย่างอิสระอีกต่อไป เขาเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจมืดที่แฝงอยู่ในโครงสร้างทางศาสนาและสังคม อำนาจนี้เองที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่อให้เกิดความรุนแรงระดับจักรวาล
“เขาทำเพื่อชาติ คุณไม่ทำอะไรก็เงียบไปเถอะ”
เมื่อบุคคลถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษจากผลงานด้านความดีความชอบ (เช่น การช่วยคน, การบริจาค) ความดีนั้นจะทำให้ผู้คนมองว่าเขาต้องดีไปทุกด้าน รวมถึงด้านศีลธรรมและความซื่อสัตย์ด้วย และแน่นอนว่าเมื่อฮีโร่ได้รับแรงศรัธทาจากคนในสังคม หลักการทางศีลธรรมส่วนบุคคลจะถูกนำมาใช้ทดแทนหลักการทางกฎหมายและนิติรัฐไปโดยปริยาย
และเมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความผิดพลาดหรือความทุจริต (เช่น การใช้เงินบริจาค) ผู้คนจะไม่ใช้เหตุผลในการตรวจสอบ แต่จะใช้ความเชื่อที่ว่าคนดีขนาดนี้ ไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายได้ หรือเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญเท่าความดีที่เขาทำ
พูดง่าย ๆ ก็คือ เกิดการลำเอียง เข้าข้าง ปกป้อง ฮีโร่ ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดของตนเอง ในสังคมที่มีการแบ่งขั้วอย่างชัดเจน วีรบุรุษจะถูกมองเป็น สัญลักษณ์ของฝ่ายเรา การโจมตีวีรบุรุษจึงเท่ากับการโจมตี อัตลักษณ์ของกลุ่ม และ ความถูกต้องทางศีลธรรมของกลุ่ม
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตัวละคร ชานี (Chani) ในฉบับดัดแปลงของผมจึงแตกต่างจากในหนังสือเล็กน้อย และมันช่วยให้ผมสามารถนำเสนอเจตนาเริ่มแรกของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ออกสู่จอได้” Denis Villanue กล่าว
วีลเนิฟทำให้ชานีเป็นตัวละครที่ เคลือบแคลงสงสัย และ ต่อต้าน ความเชื่อเรื่องผู้กอบกู้ (Messiah Prophecy) มากกว่าในหนังสือ เพื่อทำหน้าที่เป็น มุมมองทางศีลธรรมให้ผู้ชมได้ตั้งคำถามกับการกระทำของพอลในทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจนิยมนั่นเอง
มาที่ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ตัวเขาเองเคยกล่าวในประเด็นนี้ (ฮีโร่/ผู้นำทางความคิด) ไว้ด้วยเหมือนกัน คน ๆ นั้นก็คือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งในเวลานั้นถูกมองว่าเป็นผู้นำสมัยใหม่ ที่มีภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ที่อเมริกันชนโหยหา ไม่ใช่เป็นคุณลุงที่เหงื่อแตกพรากกลางวงดีเบตอย่างริชาร์ด นิกสัน
“ประธานาธิบดีคนหนึ่งที่อันตรายที่สุดที่เราเคยมีในศตวรรษนี้คือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี เพราะผู้คนพูดว่าท่านผู้นำผู้มีเสน่ห์ดึงดูดของพวกเรา เราจะทำอะไรต่อไปดี แล้วสหรัฐอเมริกาก็ลงเอยด้วยการเข้าไปพัวพันในสงครามเวียดนาม”
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราไม่ควรบูชาฮีโร่หรือวีรบุรุษมากเกินไป แม้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเมื่อระบบยุติธรรมล่าช้า, ข้าราชการไม่ทำงาน, หรืองบประมาณแสนล้านถูกใช้แบบไร้ประสิทธิภาพ การปรากฏตัวของคนที่มีพลังและเสน่ห์ดึงดูดอย่างฮีโร่ หรืออินฟลูเอนเซอร์งเข้ามาเติมเต็มช่องว่างทางอารมณ์และให้ความหวังในภาวะที่มีแต่ความไม่แน่นอน
โดยสรุป สิ่งที่แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต ต้องการจะย้ำก็คือฮีโร่ไม่ใช่ทางออกถาวร หรือในกรณีไทยการแก้ปัญหาระยะยาวต้องมาจากการ ตรวจสอบและเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยงานที่กินเงินภาษี (เช่น กองทัพ) กลับไปทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส
ข่าวที่เกี่ยวข้อง