svasdssvasds

Guss Damn Good ปะทะ IKEA ไอศกรีมราคาถูก VS แพง ต่างกันที่ "กลยุทธ์"

Guss Damn Good ปะทะ IKEA ไอศกรีมราคาถูก VS แพง ต่างกันที่ "กลยุทธ์"

ตักความคิด Guss Damn Good ปะทะ IKEA สองขั้วกลยุทธ์การตลาด ที่เปลี่ยนไอศกรีมที่ของหวานธรรมดาๆให้กลายเป็นเครื่องมือการตลาดอันทรงพลัง

SHORT CUT

  • ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มีหน้าที่เดียว (Product as a Platform) Guss Damn Good ใช้ผลิตภัณฑ์สามารถเป็น "สื่อ" สำหรับการเล่าเรื่อง สร้างประสบการณ์ และสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งได้ การตลาดไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในโฆษณา แต่มันสามารถอยู่ใน "ตัวผลิตภัณฑ์" เอง
  • IKEA แสดงให้เห็นว่าราคาที่ต่ำมาก (Loss Leader) ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การขาย แต่เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ทรงพลังในการสร้างการรับรู้ (Anchoring), ออกแบบประสบการณ์ลูกค้า (Peak-End Rule) และขับเคลื่อนธุรกิจหลักได้อย่างมหาศาล
  • ความสำเร็จของทั้งสองแบรนด์พิสูจน์ว่าความภักดีของลูกค้า สร้างได้ทั้งจาก "การผจญภัยร่วมกัน" (Guss Damn Good) ที่เน้นความตื่นเต้นและการค้นพบรสชาติใหม่ๆ และจาก "การเสริมแรงเชิงบวก" (IKEA) ที่มอบรางวัลเล็กๆน้อยให้ลูกค้าด้วยไอศกรีมราคาถูก

ตักความคิด Guss Damn Good ปะทะ IKEA สองขั้วกลยุทธ์การตลาด ที่เปลี่ยนไอศกรีมที่ของหวานธรรมดาๆให้กลายเป็นเครื่องมือการตลาดอันทรงพลัง

ในสมรภูมิตลาดค้าปลีกและอาหารที่แข่งขันอย่างดุเดือด Guss Damn Good และ IKEA ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า "ไอศกรีม" เพียงหนึ่งสกู๊ปสามารถเป็นอาวุธทางการตลาดที่พลิกเกมได้

CREDIT : Guss Damn Good

แม้ทั้งสองแบรนด์จะดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่ต่างก็ประสบความสำเร็จในการดึงดูดและสร้างความภักดีของลูกค้าผ่านกลยุทธ์ที่แยบยลและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

Guss Damn Good ปะทะ IKEA ไอศกรีมราคาถูก VS แพง ต่างกันที่ \"กลยุทธ์\"

Guss Damn Good ที่เปลี่ยนไอศกรีมให้เป็นผืนผ้าใบแห่งการเล่าเรื่อง ส่วน IKEA ใช้ "ไอศกรีมราคา 8 บาท" เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจหลัก

Guss Damn Good เมื่อไอศกรีมคือ "สื่อ" ที่บอกเล่าเรื่องราว

ความสำเร็จของ Guss Damn Good ไม่ได้มาจาก "รสชาติ" เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็น "ศิลปิน"  ด้วยปรัชญา "Feeling Crafted" และแกนหลักอย่าง "Story to Flavor" ทำให้แบรนด์มีรากฐานที่แข็งแกร่งพอที่จะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ

CREDIT : Guss Damn Good

กลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ แคมเปญ "Guss Grocery" ซึ่งไม่ใช่แค่การ Co-branding ทั่วไป แต่เป็นการร่วมมือเชิงลึกกับแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคย (Nostalgia Marketing) เช่น น้ำปลาทิพรส, มาม่า, ฟาร์มเฮ้าส์, และ M-150 เพื่อสร้างสรรค์รสชาติไอศกรีมรุ่นลิมิเต็ด

CREDIT : Guss Damn Good

Guss Damn Good ทำหน้าที่เป็น "สื่อสร้างสรรค์" ที่แปลคุณค่าและเรื่องราวของแบรนด์พันธมิตรให้ออกมาเป็นรสชาติที่กินได้และน่าจดจำ เช่น การแปลงพลังของ M-150 ให้เป็นซอร์เบต์สตรอว์เบอร์รี หรือการดึงรสเค็มอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำปลาทิพรสมาสร้างสรรค์เป็นรสคาราเมล

CREDIT : Guss Damn Good

รสชาติสุดแปลกใหม่กลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย ดึงดูดความสนใจจากสื่อต่างๆ โดยไม่ต้องใช้งบโฆษณา

ดึงดูดกลุ่ม "นักผจญภัยรสชาติ" ที่มองหาความแปลกใหม่และชอบเป็นส่วนหนึ่งกับแบรนด์

Guss Damn Good วางตำแหน่งตัวเองเป็น Creative Agency ที่แบรนด์อื่นนึกถึงเมื่อต้องการสื่อสารกับผู้บริโภคในรูปแบบใหม่

Guss Damn Good เน้นความเป็นพรีเมียม ราคาสินค้าคุณภาพระดับคราฟต์, เรื่องราวเบื้องหลัง, และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร คุณค่าของแบรนด์อยู่ที่ตัว "ผลิตภัณฑ์" เอง

Guss Damn Good นิยามตัวเองว่าเป็น "Damn Good Feeling Provider Business" หรือธุรกิจผู้ส่งมอบความรู้สึกดีๆ ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตไอศกรีม

IKEA จิตวิทยาเบื้องหลังไอศกรีมราคา 8 บาท

ในทางตรงกันข้าม กลยุทธ์ไอศกรีมของ IKEA คือกรณีศึกษาชั้นครูด้าน "การตลาดเชิงพฤติกรรม" ซอฟต์เสิร์ฟนมถั่วเหลืองราคาเพียง 8 บาท ไม่ได้มีไว้เพื่อทำ "กำไร" โดยตรง แต่มันคือเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแม่นยำ

CREDIT : IKEA

"ไอศกรีม ราคา 8 บาท" ที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อจะสร้างมาตรฐานความคุ้มค่าในใจลูกค้า ทำให้ราคาสินค้าหลักอย่างเฟอร์นิเจอร์หลายพันบาทดู "สมเหตุสมผลมากขึ้น"

IKEA ใช้กลยุทธ์นี้ ดึงดูดคนเข้าร้านได้ถึง "30%" ซึ่งหลายคนมาเพื่อทานอาหารโดยเฉพาะ และเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าอื่น

หลังจากการเดินช็อปปิ้งที่ยาวนานและอาจเหนื่อยล้า การได้รางวัลเป็นไอศกรีมราคาถูกและอร่อยที่ทางออก ช่วยสร้างความทรงจำสุดท้ายที่เป็นบวกและลบล้างความรู้สึกหงุดหงิด

CREDIT : IKEA

ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ เสริมความแข็งแกร่งให้กับคำมั่นสัญญาหลักของ IKEA ในเรื่อง "ความคุ้มค่า" อย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์ของ IKEA คือการขาย "ความรู้สึกคุ้มค่า" โดยใช้ไอศกรีมเป็นตัวประกอบสำคัญที่ช่วยสนับสนุนเป้าหมายใหญ่ นั่นคือการ "ขายเฟอร์นิเจอร์"

ธุรกิจอาหารของ IKEA ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นเสาหลักเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ จุดประสงค์แรกเริ่มนั้นเรียบง่ายและตอบโจทย์การใช้งาน คือเพื่อแก้ปัญหาความเหนื่อยล้าของลูกค้าในสโตร์ขนาดใหญ่ที่มักตั้งอยู่นอกเมือง คติพจน์ของผู้ก่อตั้งที่ว่า "ลูกค้าที่หิวจะซื้อของน้อยลง" คือหลักการชี้นำที่ชัดเจน

CREDIT : IKEA

ปัจจุบัน ธุรกิจอาหารได้กลายเป็นแหล่งรายได้มหาศาล (ประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี) และเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าที่ทรงพลัง

ข้อมูลระบุว่าประมาณ 30% ของผู้ที่มา IKEA มีจุดประสงค์หลักเพื่อมารับประทานอาหาร และกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้สร้างยอดขายเฟอร์นิเจอร์ให้สโตร์ได้ถึง 5-15% สิ่งนี้พิสูจน์ว่าอาหารไม่ใช่แค่บริการเสริม แต่เป็นเครื่องมือในการหาลูกค้าและปิดการขายที่มีประสิทธิภาพสูง

"ลูกค้าจะรู้สึกฉลาดและคุ้มค่าที่ได้ทานไอศกรีมราคาถูก" ความรู้สึกเชิงบวกกับราคาที่ถูก ดังนั้น อาหารจึงไม่ใช่แค่ข้อเสนอที่คุ้มค่า แต่เป็นตัวกระตุ้นทางจิตวิทยาที่ทำให้ความคุ้มค่าของแบรนด์ "น่าเชื่อถือและยอมรับได้ง่ายขึ้น"

ท้ายที่สุดแล้ว ทั้ง Guss Damn Good และ IKEA ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า "ไอศกรีม" เป็นได้มากกว่าของหวาน มันสามารถเป็นได้ทั้งผืนผ้าใบสำหรับความคิดสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม และเครื่องมือผ่าตัดทางจิตวิทยาที่แม่นยำ

ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "สิ่งที่ขาย" แต่ขึ้นอยู่กับ "วิธีการขาย" และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน

ทั้งสองเส้นทางต่างนำไปสู่จุดหมายเดียวกัน นั่นคือความภักดีต่อแบรนด์ "Brand Loyalty"

ที่มา : timeoutthedecisionlabGuss Damn Good

related