SHORT CUT
วิกฤตผู้พลัดถิ่นในไทยยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ จากภัยสงครามในประเทศเพื่อนบ้าน พวกเขาต้องเผชิญสถานะทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน และชีวิตในค่ายที่ไร้งบประมาณและไร้อนาคต
เคยสงสัยไหมว่า ค่ายผู้อพยพที่เราเห็นตามข่าวสารบนแผนที่ประเทศไทยตั้งอยู่ที่ไหน? ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นั่นเป็นอย่างไร? และทำไมพวกเขาถึงต้องทิ้งบ้านเกิดมาเพื่อหาที่พักพิงในต่างแดน? เรื่องราวของพวกเขาไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมานานหลายสิบปี ซึ่งมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้าน
ประเด็นผู้พลัดถิ่นนี้สามารถแบ่งออกเป็นสองยุคสมัยใหญ่ๆ ที่มีลักษณะและเงื่อนไขที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การอพยพในยุคแรกเป็นผลจากวิกฤตการณ์ในอินโดจีนช่วงปลายทศวรรษ 2520 ซึ่งเกิดจากสงครามใหญ่ระดับภูมิภาคที่ปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้มีผู้คนจำนวนมหาศาลต้องอพยพหนีภัยอย่างเร่งด่วน การเดินทางมายังไทยในยุคนั้นมีจุดประสงค์หลักเพื่อรอการส่งต่อไปยังประเทศที่สามอย่างสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในยุโรป และเมื่อสงครามสงบลง ค่ายเหล่านั้นจึงถูกปิดตัวลงไปตามกาลเวลา
แต่ในยุคต่อมา ปัญหาผู้พลัดถิ่นบนชายแดนไทย-เมียนมากลับมีลักษณะที่ยืดเยื้อและกินเวลายาวนานกว่ามาก เนื่องจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และสงครามกลางเมืองที่ยังไม่ยุติมาหลายทศวรรษ ทำให้ค่ายผู้ลี้ภัยกลายเป็นบ้านที่อยู่กันมานานหลายสิบปี หลายคนเติบโตและใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่ในค่ายที่ถูกจำกัดพื้นที่ การทำความเข้าใจความแตกต่างของสองยุคนี้คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เรามองเห็นภาพรวมของปัญหาทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ การทำความเข้าใจศัพท์เฉพาะก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะคำว่า "ผู้ลี้ภัย" (Refugee) และ "ผู้หนีภัยจากการสู้รบ" (Displaced Persons from Fighting) มักถูกใช้สลับกันไปมาในสื่อ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 รัฐบาลจึงใช้คำว่า "ผู้หนีภัยจากการสู้รบ" เพื่อสื่อถึงสถานะที่แตกต่างออกไป ในทางกฎหมาย ผู้ที่อพยพเข้ามาจึงไม่ได้มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ และอาจถูกตีความว่าเป็น "คนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย" ได้ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นรากฐานของข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ที่ผู้คนเหล่านี้ต้องเผชิญในทุกวันนี้
ในช่วงปลายทศวรรษ 2520 สถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาได้ผลักดันให้เกิดคลื่นผู้อพยพขนาดใหญ่ทะลักเข้ามายังชายแดนไทย รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้กำหนดนโยบาย "เปิดประตู" (Open-Door Policy) เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้คนที่หลบหนีภัยสงครามได้อย่างปลอดภัย นโยบายดังกล่าวได้นำไปสู่การก่อตั้งค่ายพักพิงชั่วคราวหลายแห่ง ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวลงไปแล้ว โดยเรื่องราวของค่ายเขาอีด่างและค่ายหนองเสม็ดเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของวิกฤตในยุคนั้น
ศูนย์ที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชาเขาอีด่าง ตั้งอยู่ในจังหวัดสระแก้ว (ซึ่งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปราจีนบุรี) ห่างจากอำเภออรัญประเทศไปทางเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร ค่ายแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2522 โดยเป็นผลจากการสู้รบระหว่างกองทัพเวียดนามและกัมพูชา
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ค่ายเขาอีด่างมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในวันแรกของการเปิดรับมีผู้ลี้ภัยเข้ามาถึง 4,800 คน และภายในสิ้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2522 จำนวนประชากรก็พุ่งสูงขึ้นเป็น 84,800 คน ก่อนที่จะมีจำนวนประชากรสูงสุดถึง 160,000 คนในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2523 ค่ายแห่งนี้มีความสำคัญในฐานะที่เป็นศูนย์หลักสำหรับผู้ที่กำลังรอการส่งตัวไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามและอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) อย่างไรก็ตาม เมื่อนโยบาย "เปิดประตู" สิ้นสุดลงอย่างกะทันหันในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2523 การรับผู้อพยพใหม่ก็ถูกปิดลง และค่ายก็ค่อยๆ ลดจำนวนประชากรลง จนในที่สุดก็ถูกปิดตัวลงในเวลาต่อมา
อีกหนึ่งค่ายสำคัญในอดีตคือ ค่ายผู้อพยพหนองเสม็ด ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ค่ายนี้มีความพิเศษกว่าค่ายทั่วไปเพราะถูกก่อตั้งขึ้นโดยผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาเองในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2522 และต่อมาจึงอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลไทยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523 ในช่วงปี พ.ศ. 2527 ค่ายหนองเสม็ดมีประชากรอาศัยอยู่ระหว่าง 45,000 ถึง 70,000 คน
ค่ายนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่พักพิง แต่ยังทำหน้าที่เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มกองโจรอย่างแนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมร (KPNLF) ซึ่งมีส่วนทำให้ค่ายแห่งนี้ถูกโจมตีอย่างรุนแรงโดยกองทัพเวียดนามในช่วงปลายปี พ.ศ. 2527ส่งผลให้ค่ายถูกทำลายและประชากรราว 60,000 คนต้องหลบหนีและถูกย้ายไปยัง "พื้นที่อพยพที่ 2" ซึ่งเป็นค่ายใหม่ที่สร้างขึ้นใกล้กับค่ายเขาอีด่าง การปิดตัวของค่ายเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นผลมาจากการจัดการและการย้ายที่อย่างเป็นระบบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในยุคนั้นที่มองว่าปัญหาเป็นเรื่องชั่วคราวและต้องการ "แก้ไขให้จบ" ด้วยการส่งกลับหรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม
แตกต่างจากวิกฤตในอดีต ปัญหาผู้พลัดถิ่นบนชายแดนไทย-เมียนมาเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ และถูกจัดว่าเป็นหนึ่งใน "ปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยืดเยื้อที่สุดเป็นอันดับสองของโลก" สาเหตุหลักมาจากการสู้รบที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยง (KNU) ซึ่งมีมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ความไม่สงบที่ยังไม่ยุติลงนี้ทำให้ผู้หนีภัยไม่สามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย และต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานะที่ไร้อนาคตที่แน่นอนมาหลายสิบปีแล้ว
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบที่ยังเปิดใช้งานอยู่ 9 แห่ง โดยส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน ในช่วงแรกของการก่อตั้ง รัฐบาลไทยเคยปล่อยให้ผู้หนีภัยดูแลและจัดการกันเอง แต่ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 1990 สถานการณ์การสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้นจนบางครั้งล้ำเข้ามายังฝั่งไทย ทำให้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงมหาดไทยต้องเข้ามาดูแลและจัดการค่ายผู้หนีภัยอย่างเต็มตัวซึ่งรวมถึงการรวมค่ายย่อยๆ ตลอดแนวชายแดนเข้าด้วยกันจนเหลือเพียง 9 แห่งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการสะท้อนความพยายามของรัฐบาลไทยในการควบคุมและบริหารจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบมากขึ้น
ศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ ตั้งอยู่ในอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ถือเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประชากรประมาณ 32,000 คน ปัจจุบันค่ายนี้ยังคงใช้งานอยู่และผู้คนยังคงอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปี สภาพความเป็นอยู่ในค่ายเผชิญกับปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะการขาดแคลนอาหารเนื่องจากงบประมาณช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนต้องดิ้นรนออกมาหางานทำนอกค่ายเพื่อความอยู่รอด นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องปัญหาโรคระบาด เช่น วัณโรคและ HIV ซึ่งเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
ค่ายอุ้มเปี้ยมตั้งอยู่ในอำเภอพบพระ และค่ายนุโพตั้งอยู่ในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ทั้งสองค่ายยังคงใช้งานอยู่ โดยค่ายอุ้มเปี้ยมมีประชากรประมาณ 8,000 คน และค่ายนุโพมีประมาณ 7,500 คน สภาพความเป็นอยู่ในค่ายเหล่านี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตงบประมาณ โดยเมื่อไม่นานมานี้ สถานพยาบาลในค่ายต้องระงับการให้บริการแก่ผู้ป่วยทั่วไป ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากงบประมาณสนับสนุนจากองค์กร International Rescue Committee (IRC) ที่ได้รับจากสหรัฐอเมริกาถูกระงับ การเปลี่ยนแปลงนี้ได้เพิ่มภาระให้กับโรงพยาบาลชายแดน 5 แห่งในจังหวัดตากอย่างโรงพยาบาลอุ้มผางและโรงพยาบาลพบพระที่ทำหน้าที่ดูแลผู้หนีภัยเหล่านี้โดยตรง
วิถีชีวิตของผู้พลัดถิ่นในค่ายต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเปราะบางอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ค้ำจุนชีวิตพวกเขาอยู่ งบประมาณในการดูแลผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงทั้ง 9 แห่งของไทยมาจากเงินบริจาคของต่างประเทศ 100% โดยประเทศหลักที่บริจาคคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป เมื่อนโยบายของประเทศผู้บริจาคเปลี่ยนไปหรือมีการระงับความช่วยเหลือ (เช่น การระงับเงินช่วยเหลือต่างชาติของรัฐบาลสหรัฐฯ) ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจำเป็นในค่าย การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้หนีภัยนั้นผูกติดอยู่กับการเมืองระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง
ความยากลำบากไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องปากท้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงด้านสาธารณสุข ภายในค่ายมีปัญหาโรคระบาดหลายโรค โดยเฉพาะวัณโรคและ HIV การที่บริการทางการแพทย์ในค่ายถูกระงับเนื่องจากงบประมาณที่ลดลง ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและต้องออกมาหานอกค่ายเพื่อรับยา [ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความยากลำบากแก่ตัวผู้ป่วยเอง แต่ยังเพิ่มภาระให้กับระบบสาธารณสุขของไทยในพื้นที่ชายแดน และอาจสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางสุขภาพให้กับชุมชนโดยรอบ ซึ่งเป็นผลกระทบที่กว้างกว่าแค่ในรั้วค่าย
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ โอกาสทางการศึกษากลายเป็นแสงสว่างแห่งความหวังสำหรับเด็กและเยาวชนในค่าย ข้อมูลจากองค์กรต่างๆ เช่น UNHCR ระบุว่ามีการจัดการศึกษาในค่ายผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ในรูปแบบการศึกษานอกระบบที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียน การศึกษาเหล่านี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นเพื่อให้เด็กๆ สามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต แม้จะไม่มีสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน แต่เด็กอพยพเหล่านี้ก็ยังคงมีสิทธิบางประการในการเข้าถึงการศึกษาและสาธารณสุข
ปัญหาผู้หนีภัยจากการสู้รบในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นวิกฤตที่เปลี่ยนจาก "ชั่วคราว" เป็น "ยืดเยื้อ" ที่ต้องอาศัยการจัดการเชิงนโยบายที่ซับซ้อน ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในค่าย เช่น การขาดแคลนอาหารและวิกฤตด้านสาธารณสุข เป็นเพียงผลลัพธ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของวิถีชีวิตผู้คนเหล่านี้ที่ต้องพึ่งพิงการเมืองและงบประมาณจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง
การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาลไทย องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม เพื่อหาทางออกที่มั่นคงให้กับชีวิตที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง ไม่ใช่แค่การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชั่วคราวเท่านั้น แต่ต้องมองหาทางเลือกอื่นๆ เช่น การบูรณาการเข้าสู่สังคมและเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ปัญหาในประเทศเพื่อนบ้านยังไม่สงบ เรื่องราวของ 'เพื่อนบ้านผู้พลัดถิ่น' บนผืนแผ่นดินไทยจึงยังคงเป็นบทความที่รอตอนจบที่แท้จริงอยู่