
SHORT CUT
8 พฤติกรรมการทำงานของชาว Gen Z ที่กำลังเปลี่ยนโฉมโลกงานในปี 2025 ไม่ได้แค่ทำงาน แต่กำลังรื้อระบบเดิมทิ้ง แล้วสร้างใหม่ตามแบบของตัวเอง
โลกการทำงานได้เผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือ “Gen Z” คนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 1997 ซึ่งวันนี้ไม่ได้เพียงแค่เข้าสู่ตลาดแรงงานในฐานะหน้าใหม่ แต่ยังเข้ามาปรับเขย่ากติกาเดิม ๆ และนิยาม “การทำงาน” ใหม่ให้สอดรับกับค่านิยมและจังหวะชีวิตของยุคปัจจุบัน
Gen Z ไม่มองว่าการอยู่กับองค์กรเดิมไปนาน ๆ คือเป้าหมาย พวกเขาให้ความสำคัญกับความสุข สุขภาพจิต ความยืดหยุ่น และการมีชีวิตที่มีความหมายมากกว่าการปีนบันไดตำแหน่งแบบรุ่นก่อน พวกเขากล้า “ลาออก” เมื่อไม่แฮปปี้ กล้าเปิดเผยเรื่องเงินเดือน ไม่ยึดติดกับเวลาเข้า-ออกงานหรือเครื่องแบบ และมองหาสภาพแวดล้อมที่ให้คุณค่าและให้เกียรติตัวตนของพวกเขาจริง ๆ
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 8 เทรนด์เด่นที่สะท้อนทัศนคติและพฤติกรรมของ Gen Z บนเส้นทางการเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานยุคใหม่
ลืมเรื่องยูนิฟอร์ม ไปได้เลย Gen Z นิยมสถานที่ทำงานที่ให้แต่งตัวสบาย ๆ และยืดหยุ่น ไม่เคร่งครัดเรื่องเครื่องแบบหรือการแต่งกายทางการอีกต่อไป โพลช่วงต้นปี 2025 จากเว็บไซส์ Monster ระบุว่า 43% ของพนักงานรุ่นใหม่ไม่ได้ทำงานในออฟฟิศที่มี Dress Code เลยในปีที่ผ่านมา และ 44% จะพิจารณาเปลี่ยนงานหากที่ใหม่ให้อิสระในการแต่งกายตรงกับสไตล์ตนเองมากกว่า เทรนด์นี้ทำให้นายจ้างหลายแห่งต้องทบทวนกฎการแต่งตัว เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นตัวเองของคนรุ่นใหม่
การทำงานเท่าที่จำเป็นโดยไม่ทุ่มเทเกินหน้าที่ เป็นกระแสที่ Gen Z เป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อน คนรุ่นใหม่นี้ปฏิเสธวัฒนธรรมการทำงานแบบ ต้องทุ่ม 110% ตลอดเวลา โดยเลือกที่จะทำงานตามคำบรรยายตำแหน่งเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดและ ป้องกันภาวะหมดไฟ พนักงานรุ่นใหม่จำนวนมากเลิกอยู่ทำงานล่วงเวลาหลังเลิกงาน และกันเวลานอกงานไว้สำหรับชีวิตส่วนตัว
คนเจน Z จำนวนมากทั่วโลกในปี 2025 มีมุมมองที่เปลี่ยนไปต่อกฎการเข้างานตรงเวลาแบบดั้งเดิม (เช่น การต้องถึงออฟฟิศให้ได้ 9 โมงเช้าทุกวัน) โดยมองว่าการเคร่งครัดเรื่องเวลานั้น “ล้าสมัย” หรือไม่จำเป็นเท่าแต่ก่อน ทั้งงานวิจัยและแบบสำรวจหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า Gen Z ให้คุณค่ากับความยืดหยุ่นและผลลัพธ์ของงานมากกว่าการต้องนั่งประจำที่ให้ตรงเวลา
การทำงานแบบ Hybrid (เข้าออฟฟิศบางวัน ทำงานที่อื่นบางวัน) และเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ภายในปี 2025 ซึ่งได้รับแรงหนุนอย่างมากจากคนรุ่น Gen Z เทรนด์นี้เกิดจากความต้องการ รูปแบบงานที่ยืดหยุ่นและสะดวกสบาย ของคนทำงานรุ่นใหม่
ทุกวันนี้การให้พนักงานเลือกสถานที่ทำงานได้กลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ต่างจากสวัสดิการพื้นฐานของบริษัทไปแล้ว องค์กรที่เปิดให้ทำงานแบบไฮบริดยังช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาพนักงานรุ่นใหม่ให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้นอีกด้วย
ทำงาน ของคนรุ่นนี้จัดให้ “ความโปร่งใสและความเป็นธรรมด้านเงินเดือน” เป็นปัจจัยอันดับแรกในการเลือกงาน แนวโน้มนี้ผลักดันให้องค์กรต่าง ๆ ต้องเปิดเผยช่วงเงินเดือนในตั้งแต่ประกาศรับสมัครงานมากขึ้น เพื่อดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่
Gen Z เปิดเผยและตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตของตนมากขึ้น พร้อมทั้งคาดหวังการสนับสนุนด้านความเป็นอยู่ที่ดีจากนายจ้าง งานวิจัยชี้ว่า ภาวะหมดไฟ (Burnout) ในวัยทำงานเกิดขึ้นเร็วขึ้นมากในเจนนี้ โดยอายุเฉลี่ยที่เจอ burnout อยู่ราว 25 ปี (เทียบกับวัย 42 ปีโดยเฉลี่ยในอดีต) นอกจากนี้ 61% ของคนรุ่นนี้จะพิจารณาลาออกหากมีที่ทำงานที่ใหม่ซึ่งให้สวัสดิการด้านสุขภาพจิตที่ดีกว่า สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพใจและสมดุลชีวิตการงานยิ่งกว่าเดิม และพร้อมจะเปลี่ยนงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากค่าตอบแทนแล้ว Gen Z ยังต้องการงานที่ “มีความหมาย” ให้ความรู้สึกว่าตนได้สร้างคุณค่าและมีเป้าหมายชัดเจนจากงานที่ทำ หลายคนอยากให้งานที่ทำ ส่งผลดีต่อสังคม หรือสอดคล้องกับแพสชั่นของตัวเอง ไม่ใช่แค่ทำงานเพื่อเงินเดือนเท่านั้น เทรนด์นี้หมายความว่าองค์กรยุคใหม่ต้องสื่อสาร “คุณค่า” ของงานที่พนักงานทำได้อย่างชัดเจน และสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในงานที่มีความหมาย เพื่อดึงดูดและรักษาคนเจนนี้ไว้ในระยะยาว
คนรุ่นใหม่มักพร้อมลาออกจากงานที่ไม่ตอบโจทย์หรือสภาพแวดล้อมไม่ดีอย่างไม่ลังเล คนรุ่นนี้มีอายุงานกับบริษัทหนึ่งสั้นกว่ารุ่นก่อนมาก (เฉลี่ยประมาณ 1.1 ปีเท่านั้น)
ที่มา : inkl / theinterviewguys / myshortlister / worklife
ข่าวที่เกี่ยวข้อง