
เมื่อไรภาพจำ “ซีเกมส์ = ซีโกง” จะจบลง? บททดสอบครั้งใหญ่ของอาเซียน: ซีเกมส์ 2025 จะล้างภาพลักษณ์เดิมๆ ได้ไหม
ในวงการกีฬาระดับโลก เรามักพูดถึง "Fair Play" หรือความยุติธรรม แต่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา คำที่ถูกพูดถึงหนาหูยิ่งกว่ากลับเป็นคำว่า "ซีโกง" ที่มักจะมาเสมอเวลาที่ "ซีเกมส์" จัดขึ้น
มหกรรมกีฬาซีเกมส์ (SEA Games) ซึ่งควรจะเป็นเวทีแห่งมิตรภาพและการพัฒนานักกีฬาอาเซียนสู่เวทีทวีปเอเชีย รวมถึงเวทีโอลิมปิกในโอกาสต่อไป กลับถูกลดทอนคุณค่าลงจนกลายเป็นเพียง "ปาหี่" หลอกๆ ในสายตาแฟนกีฬาจำนวนมาก
คำถามสำคัญคือ การแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ และกำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนของวงการกีฬาอาเซียนได้ไหม หรือจะเป็นเพียงแค่การหมุนเวียนเก้าอี้ดนตรีแห่งชัยชนะจอมปลอมอีกครั้ง?
"สถิติไม่เคยโกหกใคร" ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา กีฬาซีเกมส์ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่เรียกว่า "Host Advantage" หรือความได้เปรียบของเจ้าภาพที่มากจนเกินงาม
จากการแข่งขัน 15 ครั้งหลังสุด มีถึง 10 ครั้งที่ "ประเทศเจ้าภาพ" ครองตำแหน่งเจ้าเหรียญทอง สถิตินี้สะท้อนความจริงอันน่าเจ็บปวดว่า ซีเกมส์กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองและชาตินิยม (Nationalism) มากกว่าการวัดศักยภาพทางกีฬา ประเทศเจ้าภาพมักใช้กีฬาสร้างความสามัคคีในชาติ หรือกลบเกลื่อนปัญหาภายใน โดยใช้เหรียญทองเป็นยาหอมกล่อมประสาทประชาชนว่า "เราคือชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในย่านนี้"
ภาพจำที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
กัวลาลัมเปอร์ 2017: มาเลเซีย จากที่เคยได้อันดับ 4 ในครั้งก่อนหน้า กลับก้าวกระโดดคว้าไปถึง 145 เหรียญทอง ด้วยการบรรจุกีฬาแปลกประหลาดที่คู่แข่งไม่ถนัด (เช่น คริกเก็ต, เนตบอล) ตัดกีฬาที่ตนเองเสียเปรียบ จัดตารางแข่งให้คู่แข่งล้า และระบบการตัดสินที่ค้านสายตา จนคำว่า "ซีโกง" ถูกพูดถึงในช่วงเวลานั้น
พนมเปญ 2023: กัมพูชา เจ้าภาพหมาดๆ สร้างปรากฏการณ์ "ช่างมันฉันไม่แคร์" ด้วยการเปลี่ยน มวยไทย เป็น "กุน ขะแมร์" ตัดกีฬาเพาะกายทิ้งดื้อๆ เพราะมีปัญหาภายใน และที่เลวร้ายกว่านั้นคือการใช้นโยบาย "โอนสัญชาติฉับพลัน" (Instant Naturalization) เราได้เห็นนักบาสเกตบอลหน้าตาแบบที่ไม่ใช่อาเซียนสวมชุดทีมชาติกัมพูชา หรือนักกีฬาที่ไม่ใช่คนอาเซียนขึ้นรับเหรียญรางวัล แต่ประเด็นนี้ก็แล้วแต่มุมคิด เพราะในบางประเทศ มีนักกีฬาโอนสัญชาติก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
การกระทำเหล่านี้ แม้จะสร้างความสุขชั่วคราวให้คนในชาติเจ้าภาพ แต่มันคือการ "ตัดตอน" อนาคตของนักกีฬาอาเซียนอย่างเลือดเย็น การตัดโอกาสเด็กท้องถิ่นเพื่อให้นักกีฬาโอนสัญชาติลงแข่ง หรือการตัดกีฬาสากลทิ้ง ทำให้นักกีฬาอาเซียนกลายเป็น "เสือกระดาษ" ที่เก่งแต่ในบ้าน แต่ไปไม่เป็นเมื่อถึงเวทีโอลิมปิก
ท่ามกลางวิกฤตศรัทธานี้ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้ามารับไม้ต่อในการจัดการแข่งขัน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2025 และก่อนพิธีเปิดจะเริ่มขึ้น ก็มีข่าวดราม่า ประทุขึ้นมามากมายหลากหลายประเด็น
สิ่งที่น่าจับตามองไม่ใช่แค่การเป็นเจ้าภาพ แต่คือ "ปฏิญญา" ที่ไทยพยายามจะสื่อสารออกไปว่า "พอกันทีกับกีฬาพื้นบ้าน"
ข้อมูลล่าสุดยืนยันว่า ซีเกมส์ 2025 จะเป็นจุดเปลี่ยนสู่มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง ด้วยโครงสร้างชนิดกีฬาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง:
เน้นคุณภาพระดับโลก: จากกว่า 50 ชนิดกีฬา จะมี 27 ชนิดกีฬาที่เป็นบัญชีโอลิมปิก (Olympic Sports) และอีก 9 ชนิดกีฬาจากเอเชียนเกมส์ เป็นแกนหลัก
ตอบโจทย์โลกใหม่: การบรรจุกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่าง สเกตบอร์ด, ปีนหน้าผา และเซอร์ไพรส์อย่างการกลับมาของ "กีฬาฤดูหนาว" (Ice Hockey, Figure Skating) สะท้อนแนวคิดที่มองไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่การอนุรักษ์นิยม
อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจคือ การที่ไทยเลือกใช้ 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี และสงขลา เป็นเวทีประลอง (ก่อนที่ สงขลา จะยกเลิก เพราะเหตุน้ำท่วม ในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน ที่ผ่านมา)
นี่ไม่ใช่แค่การกระจายรายได้ แต่เป็นการกระจาย "มาตรฐาน" สนามกีฬาและการจัดการไปสู่ภูมิภาค ลดความแออัด และเปิดโอกาสให้แฟนกีฬาในต่างจังหวัดได้สัมผัสบรรยากาศระดับนานาชาติ
คำถามสำคัญที่มนตรีซีเกมส์และแฟนกีฬาต้องถามตัวเองคือ "เราต้องการเหรียญทองไปเพื่ออะไร?"
หากต้องการแค่ความสะใจชั่วคราว การโกงและการใช้เล่ห์เหลี่ยมเจ้าภาพคงเป็นคำตอบ แต่หากเราต้องการเห็นนักแบดมินตันไทยก้าวไปเป็นมือ 1 โลก (อย่างที่เคยทำได้), ต้องการเห็นวอลเลย์บอลหญิงอาเซียนไปตบในระดับโลก หรือนักวิ่งระยะไกลที่เทียบชั้นเคนยา สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างสนามแข่งขันที่ "ศักดิ์สิทธิ์"
ซีเกมส์ 2025 ที่ไทย จึงไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่มันคือบททดสอบวุฒิภาวะของชาติสมาชิกอาเซียน ว่าจะยอมทิ้ง "ความสบายใจจอมปลอม" (Comfort Zone of Corruption) เพื่อก้าวไปสู่ "มาตรฐานสากล" (International Standard) หรือไม่
ไทยในฐานะพี่ใหญ่ของวงการกีฬาอาเซียน มีภารกิจสำคัญที่ไม่ใช่การคว้าเจ้าเหรียญทองให้ได้มากที่สุด แต่คือการเป็นเจ้าภาพที่ทำให้คำว่า "Fair Play" กลับมามีความหมายอีกครั้ง และลบภาพจำ "ซีโกง" ให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เสียที
เพราะท้ายที่สุดแล้ว... ใครจะอยากดูละครลิงที่รู้ตอนจบอยู่แล้ว? แต่ทุกคนย่อมอยากดูการต่อสู้ที่แท้จริงของผู้กล้า ที่แพ้ชนะกันด้วยฝีมือ ไม่ใช่กลโกง หลอกตัวเอง.
ที่มา : springnews The Staduim
ข่าวที่เกี่ยวข้อง