
ชวนย้อนอดีต ไปรำลึกถึงเหตุการณ์ ที่ ประเทศไทย ต้องเจอกับเหตุการณ์ ชนะเลือกตั้ง - แต่ พรรคการเมืองที่ได้ เสียง ส.ส. สูงสุด กลับไม่ได้เป็นนายกฯ
ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาสากล ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองที่กวาดที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้มากที่สุด มักถูกตีความว่าเป็น "อาณัติจากประชาชน" (Mandate) เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ
ทว่า ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เส้นทางสู่ตึกไทยคู่ฟ้าไม่เคยเป็นเส้นตรง การชนะเลือกตั้งเป็นเพียง "ก้าวแรก" แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะได้เป็น "นายกรัฐมนตรี" เสมอไป
ตลอดการเลือกตั้งทั่วไป 27 ครั้งที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปรากฏการณ์ที่พรรคอันดับ 1 ต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน หรือถูกเบียดตกขอบกระดานอำนาจมาแล้วหลายครั้ง ด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันไป ทั้งกลไกรัฐธรรมนูญ การแทรกแซงจากอำนาจนอกสภา และเกมการเจรจาผลประโยชน์ทางการเมือง
.
พ.ศ. 2500: ชัยชนะภายใต้เงาเผด็จการ ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 8 พรรคสหภูมิ ภายใต้การนำของ นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย กวาดที่นั่งไปถึง 44 ที่นั่ง (จาก 160 ที่นั่ง) ชนะพรรคประชาธิปัตย์ของนายควง อภัยวงศ์
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ทรงอิทธิพลในขณะนั้น เมื่อจอมพลสฤษดิ์มองว่าพรรคสหภูมิขาดเสถียรภาพ จึงตัดสินใจ "จัดระเบียบใหม่" ด้วยการยุบพรรคสหภูมิรวมกับพรรคเสรีมนังคศิลา ก่อตั้ง "พรรคชาติสังคม" และส่งไม้ต่อให้ พลโท ถนอม กิตติขจร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน โดยที่หัวหน้าพรรคผู้ชนะเลือกตั้งทำได้เพียงมองดูตาปริบๆ
พ.ศ. 2518: คณิตศาสตร์การเมืองของ 'หม่อมคึกฤทธิ์' เป็นกรณีศึกษาคลาสสิกของการเมืองระบบรัฐสภา ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช พาพรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งด้วยจำนวน 72 ที่นั่ง แต่ล้มเหลวในการรวบรวมเสียงให้ถึงกึ่งหนึ่ง (135 เสียง) รัฐบาลของท่านจึงล้มคว่ำกลางสภาตั้งแต่วันแถลงนโยบาย
สถานการณ์นี้เปิดทางให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น้องชาย จากพรรคกิจสังคม ที่มี ส.ส. ในมือเพียง 18 เสียง แสดงอภินิหารทางการเมือง รวบรวมพันธมิตรต่างพรรคถึง 8 พรรค จัดตั้งรัฐบาลผสมและก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ พิสูจน์ว่าจำนวนมือในสภาสำคัญกว่าจำนวนเสียงที่ชนะมา
พ.ศ. 2522: ยุค 'ป๋าเปรม' และนายกฯ คนนอก แม้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จะนำพรรคกิจสังคมกลับมาชนะเลือกตั้งอีกครั้งด้วยจำนวน 88 ที่นั่ง แต่ด้วยโครงสร้างรัฐธรรมนูญและบริบททางการเมืองที่ยังต้องการ "คนกลาง" เพื่อความมั่นคง พรรคการเมืองต่างๆ จึงมีมติสนับสนุน พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยไม่ต้องพึ่งเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
พ.ศ. 2526 และ 2529: ฉันทามติแห่งความมั่นคง สองการเลือกตั้งนี้สะท้อนภาพ "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" ได้ชัดเจนที่สุด
ปี 2526: พรรคชาติไทย โดย พล.ต.อ. ประมาณ อดิเรกสาร ชนะเลือกตั้ง (110 ที่นั่ง) แต่พรรคอันดับรองๆ จับมือกันหนุน พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ ส่งผลให้ผู้ชนะต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน
ปี 2529: พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายพิชัย รัตตกุล ชนะเลือกตั้งได้ ส.ส. แตะหลักร้อย (100 ที่นั่ง) แต่บทสรุปยังคงเดิม คือพรรคร่วมรัฐบาลต่างเห็นพ้องเชิญ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 เพื่อประคองสถานการณ์บ้านเมือง
พ.ศ. 2535: ชัยชนะที่เปื้อนข้อครหา นายณรงค์ วงศ์วรรณ นำพรรคสามัคคีธรรมชนะการเลือกตั้ง (79 ที่นั่ง) และเตรียมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับถูกสกัดด้วยข้อกล่าวหาพัวพันขบวนการค้ายาเสพติด (ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธ) สถานการณ์บีบคั้นทำให้พรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรค หันไปสนับสนุน พลเอก สุจินดา คราประยูร ผู้นำคณะรัฐประหาร รสช. ขึ้นเป็นนายกฯ แทน การตระบัดสัตย์เพื่อสืบทอดอำนาจครั้งนี้ นำไปสู่การประท้วงนองเลือดในเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ"
พ.ศ. 2562: กติกาที่เปลี่ยนไป ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 พรรคเพื่อไทย นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส. มากที่สุด (136 ที่นั่ง) แต่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งได้ที่นั่งรองลงมา (116 ที่นั่ง) อ้างความชอบธรรมจากคะแนนมหาชน (Popular Vote) และอาศัยกลไกของ ส.ว. และพรรคร่วม 19 พรรค จัดตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ สนับสนุน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
พ.ศ. 2566: ปรากฏการณ์ก้าวไกล และสูตรจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว การเลือกตั้งครั้งล่าสุดสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อ พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หักปากกาเซียนกวาดที่นั่งมาเป็นอันดับ 1 (151 ที่นั่ง) พร้อมความหวังในการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยร่วมกับพรรคเพื่อไทย
แต่กำแพงของรัฐธรรมนูญและกลไกวุฒิสภายังคงแข็งแกร่ง นายพิธาไม่สามารถฝ่าด่านโหวตนายกฯ ในรัฐสภาได้ นำไปสู่การส่งไม้ต่อให้พรรคอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว และส่ง นายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนจะเปลี่ยนผ่านสู่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในเวลาต่อมา
ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การเมืองไทยมี "สมการ" ที่ซับซ้อนกว่าแค่การนับคะแนนเสียงหน้าคูหา ชัยชนะของประชาชนอาจเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น แต่ในหลายครั้งกลับไม่ใช่เงื่อนไขที่เพียงพอในการกำหนดตัวผู้นำประเทศ หากแต่ต้องอาศัยจังหวะ, พันธมิตร และการยอมรับจากโครงสร้างอำนาจในขณะนั้นประกอบกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง