
ย้อนรอย ‘เลือกตั้งสกปรก 2500’: เมื่อกลโกงเหนือศรัทธา บัตรเลือกตั้งผี เวียนเทียนลงคะแนน และปฐมบทแห่งวงจรรัฐประหารไทยในยุคก่อน
ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองกึ่งพุทธกาลที่รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม หมายมั่นปั้นมือให้เป็นวาระแห่งชาติ การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 9 ของไทยกลับกลายเป็นรอยด่างพร้อยครั้งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การเมือง และถูกจารึกไว้ในนาม “การเลือกตั้งที่สกปรกที่สุด” (The Dirtiest Election) ซึ่งไม่เพียงทำลายศรัทธาของประชาชน แต่ยังเป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำประเทศเข้าสู่ยุคเผด็จการทหารอย่างยาวนาน
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ไม่ใช่เพียงการหย่อนบัตรธรรมดา แต่เป็นการเดิมพันอำนาจครั้งสำคัญในยุคสมัยนั้น ของ พรรคเสรีมนังคศิลา ภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการรักษาเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 160 ที่นั่ง ท่ามกลางคู่แข่งทางการเมืองกว่า 23 พรรค โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ของ นายควง อภัยวงศ์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับเต็มไปด้วยกลไกอำนาจรัฐ การข่มขู่ และนวัตกรรมการโกงที่ซับซ้อน จนกลายเป็นศัพท์ทางการเมืองที่ยังคงถูกเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน
พล.อ. บัญชร ชวาลศิลป์ นักการทหารและนักประวัติศาสตร์ เคยฉายภาพเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ผ่านหลักฐานคำฟ้องของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเผยให้เห็นปฏิบัติการที่เป็นระบบและทำเป็นขบวนการ โดยมี พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจผู้ทรงอิทธิพล เป็นตัวจักรสำคัญ
พฤติการณ์ความไม่ชอบมาพากลแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่ก่อนเริ่มลงคะแนน จนถึงการนับคะแนน:
1. ปฏิบัติการ "ไพ่ไฟ" และ "พลร่ม" ศัพท์แสงทางการเมืองใหม่ๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้
ไพ่ไฟ : คือบัตรเลือกตั้งผีที่ถูกพิมพ์และกาคะแนนให้ผู้สมัครพรรครัฐบาลไว้เรียบร้อยแล้ว ถูกเตรียมไว้เพื่อยัดลงหีบ หรือแม้กระทั่งสับเปลี่ยนบัตร
พลร่ม : หรือการเวียนเทียนลงคะแนน โดยใช้กลุ่มคนเดิมเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาลงคะแนนซ้ำๆ ให้กับพรรคเสรีมนังคศิลาหลายรอบในวันเดียว
ผู้กว้างขวาง : การระดมกลุ่มนักเลงและอันธพาลเพื่อข่มขู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และคุกคามกรรมการประจำหน่วย
2. การใช้อำนาจรัฐแทรกแซงข้าราชการ รัฐบาลใช้กลไกมหาดไทยอย่างโจ่งแจ้ง มีการบังคับข้าราชการให้เลือกพรรครัฐบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอคนใดที่พยายามวางตัวเป็นกลางจะถูกข่มขู่คุกคาม ดังกรณีของนายชลอ วนะภูติ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ถูกกดดันจนต้องลาออก หรือกรณีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ปราศรัยชี้นำให้เลือกพรรคเสรีมนังคศิลาอย่างเปิดเผย
ในวันเลือกตั้ง เมื่อ 68 ปีที่แล้ว สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น รายงานระบุว่าในหลายหน่วยเลือกตั้ง อันธพาลเข้าก่อกวนและทำร้ายร่างกายผู้ที่แสดงออกว่าจะเลือกพรรคฝ่ายค้าน ดังคำบอกเล่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตะโกนว่า "นายควงชนะแหง" ก่อนจะถูกอันธพาลใช้มีดฟันศีรษะจนบาดเจ็บสาหัส
ความผิดปกติของการนับคะแนนยิ่งตอกย้ำความสกปรก :
ปรากฏการณ์ไฟดับ: ที่หน่วยเลือกตั้งสวนลุมพินี เกิดเหตุไฟฟ้าดับขณะนับคะแนน เมื่อไฟกลับมาสว่าง ปรากฏว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งมีมากกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์จริง
บัตรเสียกลายเป็นบัตรดี: บัตรเสียที่กาให้พรรคเสรีมนังคศิลาถูกนับเป็นคะแนนดี ในขณะที่บัตรเสียของพรรคอื่นยังคงเป็นบัตรเสีย
การนับคะแนนล่าช้า: การนับคะแนนยืดเยื้อไปกว่า 2 วันในบางหน่วย และเมื่อผลออกมา คะแนนของผู้สมัครหมายเลข 25-33 (พรรครัฐบาล) กลับพุ่งสูงขึ้นกว่า 200% อย่างไร้เหตุผล
แม้ชัยชนะจะตกเป็นของพรรคเสรีมนังคศิลา แต่เป็นชัยชนะที่ประชาชนไม่ยอมรับ นิสิตนักศึกษาและประชาชนได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการทุจริตอย่างกว้างขวาง นำไปสู่การลดธงชาติครึ่งเสาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อไว้อาลัยให้กับประชาธิปไตย
จอมพล ป. พิบูลสงคราม พยายามลดกระแสกดดันด้วยการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนด้วยประโยคประวัติศาสตร์ว่า:
"อย่าเรียกว่าการเลือกตั้งสกปรกเลย ควรจะเรียกว่าเป็น ‘การเลือกตั้งไม่เรียบร้อย’ เท่านั้น"
อย่างไรก็ตาม ความ "ไม่เรียบร้อย" นี้ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ความชอบธรรมของรัฐบาลหมดสิ้นลง เปิดทางให้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งวางตัวเข้าข้างประชาชนในช่วงวิกฤต ใช้โอกาสนี้ทำรัฐประหารยึดอำนาจในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ปิดฉากยุคสมัยของจอมพล ป. แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่นำประเทศไทยเข้าสู่ยุค "เผด็จการทหาร" เต็มรูปแบบภายใต้ระบอบสฤษดิ์ และต้องใช้เวลากว่า 16 ปี กว่าที่พลังประชาชนจะทวงคืนประชาธิปไตยได้อีกครั้งในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
บทเรียนจาก "เลือกตั้งสกปรก 2500" ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงกลไกประชาธิปไตย ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ แต่มรดกทางความคิดและวิธีการบางอย่างอาจยังคงแฝงเร้นอยู่ในการเมืองไทยตราบจนปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2500 ได้สร้าง "บรรทัดฐานที่บิดเบี้ยว" ไว้สองประการสำคัญ:
นวัตกรรมการโกง: เทคนิคอย่าง ไพ่ไฟ หรือ พลร่ม แม้จะเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคสมัย แต่รากฐานคือการมุ่งเอาชนะด้วยตัวเลขมากกว่าฉันทามติ
ข้ออ้างเพื่อรัฐประหาร: ความวุ่นวายจากการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส มักถูกใช้เป็นข้ออ้าง ให้กองทัพก้าวเข้ามาแทรกแซงและยึดอำนาจ โดยอ้างความสงบเรียบร้อย ซึ่งกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่วนเวียนในการเมืองไทย
ที่มา : silpa-mag kpi.ac.th silpa-mag pridi
ข่าวที่เกี่ยวข้อง