ธปท. ชี้ ค่า GDP ของไทยโตขึ้น 3% เงิน 38 บาทต่อดอลลาร์ไม่ได้แปลว่าขาดเสถียรภาพ

เวทีสัมมนาใหญ่ประจำปี "Thailand Economic Outlook 2023" ในโอกาสฉลองก้าวสู่ปีที่ 36 ของกรุงเทพธุรกิจ หนึ่งในบริษัทของ เครือ เนชั่น กรุ๊ป งานสัมนาครั้งนี้ ได้เชิญนักวิชาการ  นักเศรษฐศาสตร์แถวหน้า และทัพ CEO จากองค์กรแถวหน้าที่มีบทบาทขับเคลื่อน และเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจประเทศไทย 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษ เพื่อฉายภาพอนาคตเศรษฐกิจของประเทศ ในหัวข้อ "นโยบายด้านการเงินกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน"  ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้ม ขยายตัวได้ต่อเนื่อง และทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งปีนี้ อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ ค่า GDP พบว่า  ปี 2565 โตขึ้น 3.3 % 

.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

• "เทคนิคใช้บัตรเครดิต" เครื่องมือทำเงิน ช่วยประหยัด เพิ่มรายได้ถ้าวางแผนดี

• ส่องพฤติกรรมคนไทย "แอปสั่งอาหาร-สินค้าออนไลน์" ลดพนักงาน หลายเจ้าปิดตัว

• วิเคราะห์ดีลซื้อกิจการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ 3BB ใครคว้าผลประโยชน์ 2 เด้ง?

ส่วนปี 2566 คาดการณ์ว่าจะโตขึ้น 3.8 %  ตัวขับเคลื่อนที่เป็นแรงส่งหลักทางเศรษฐกิจ มาจากการบริโภคของภาคเอกชนและภาคธุรกิจท่องเที่ยว 

ส่วนรายได้แรงงานปรับดีขึ้น  พบว่า รายได้เกษตรกร ไตรมาส 1 ปี 2565 โตขึ้น 10 % ปี2566 คาดการณ์ว่าน่าจะโตขึ้น 16%  และ รายได้นอกภาคเกษตร ปี 2565 โตขึ้น 9 % ปี 2566 คาดว่าจะโตขึ้น 13%  โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมาดี เหมือนเมื่อก่อนที่โควิด-19 ระบาด ในช่วงปลายปีนี้ หรือ ต้นปีหน้า อย่างเเน่นอน 

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังสูง แต่จะกลับเข้าสู่เป้าหมาย 1-3% ในปี 2566 เงินเฟ้อจากอุปทานจะทยอยคลี่คลาย เงินเฟ้อจากอุปสงค์ยังคงจำกัด จากเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัว  ยังต้องติดตามเงินเฟ้อพื้นฐาน การส่งผ่านต้นทุนของธุรกิจที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งควรดำเนินนโยบายอย่างไรให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น คือ นโยบายการเงินปรับแบบค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องกับบริบบทเศรษฐกิจ (Gradual&Measured) , การขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมาะกับสถานการณ์ของประเทศ 

 โดยเศรษฐกิจไทย นอกจากจะทำให้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จะต้องมีความยั่งยืนด้วย คือ หนี้ครัวเรือน ต้องอยู่ในระดับที่ยั่งยืนและการแก้ไขปัญหาหนี้จะต้องแก้แบบครบวงจร ทั้งก่อนก่อหนี้ ขณะเป็นหนี้ เมื่อมีปัญหาในการชำระหนี้ รวมทั้งแก้แบบถูกหลักการ สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การปูพรมไม่ตรงจุดหรือสร้างแรงจูงใจผิดๆ จะทำให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยิ่งซ้ำเติม 

 นอกจากนี้ผู้ว่า ธปท. ยังไม่เห็นด้วยกับการพักชำระหนี้ เพราะฟังดูดีในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และ มองว่า เศรษฐกิจไทยต้องเติบโตอย่างยั้งยืน ด้านสิ่งแวดล้อมด้วย โคยภาคการเงินต้องสนับสนุนให้ธุรกิจที่เน้นเร่งแก้ปัญหาโลกร้อน สิ่งแวดล้อม ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน สุดท้ายคือสร้างโอกาสทางธุรกิจ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัล

ผู้ว่าการแบงก์ชาติยืนยันค่าเงินบาทที่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ ไม่ได้สะท้อนว่า ภาคการเงินไทยขาดเสถียรภาพ พร้อมย้ำว่า เงินบาทที่อ่อนลงเป็นผลจากดอลลาร์แข็งค่า และการเข้าดูแลค่าเงินของแบงก์ชาติจะไม่เป็นการไปฝืนกลไกตลาด เนื่องจากมีบทเรียนจากวิกฤติปี 2540

โดยในช่วงที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นราว 17-18% ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงราว 12% ซึ่งการอ่อนค่าของเงินบาทถือเป็นระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค สะท้อนว่าเงินบาทไม่ได้เคลื่อนไหวผิดเพี้ยนไปจากคนอื่น ดังนั้นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่า นอกจากนี้ที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายด้วย

"ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเงินทุนไหลเข้าไทยรวมแล้วกว่า 3.5พันล้านดอลาร์ แม้มีไหลออกบ้างในเดือนกันยายน แต่ก็อยู่ที่ราวๆ  600 ล้านดอลลาร์ ไม่ได้เป็นการไหลออกที่น่ากังวล หรือเป็นนัยสำคัญ”

ส่วนตัวเลขเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลง หลักๆ ก็มาจากการที่สกุลเงินอื่นๆ ที่อยู่ในรูปของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอ่อนค่าลง ดังนั้นเมื่อตีมูลค่าเป็นเงินดอลลาร์จึงทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยลดลงตามไปด้วย 

"ถามว่า ธปท. เข้าไปดูแลค่าเงินบาทบ้างหรือไม่ ก็มีบ้างในบางจังหวะ เพราะเราไม่ต้องการเห็นความผันผวนที่แรงและเร็วเกินไป แต่การเข้าไปดูแลไม่ใช่การฝืนกลไกตลาด หรือยันให้อยู่ในระดับที่เราต้องการ เพราะเรารู้ดีว่า ไม่สามารถทำได้”

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย  กล่าวย้ำว่า บทเรียนจากปี 2540 ชัดเจนว่า อะไรที่เป็นการฝืนตลาดมากๆ ก็เพิ่มความเสี่ยงสารพัดด้าน และเงินบาทที่อ่อนค่าลงสู่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ ก็ไม่ได้แปลว่าไทยเราขาดเสถียรภาพ เพราะถ้าดูเสถียรภาพเราตอนนี้ชัดเจนมากๆ ว่าเราแข็งแกร่งมาก แตกต่างกับตอนปี 2540 อย่างชัดเจน สะท้อนผ่านระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ปัจจุบันสูงเป็นอันดับ 12 ของโลก