svasdssvasds

MI GROUP ชี้ อุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังกลับมาผงาด คาดปีนี้โต 7.4 %

MI GROUP ชี้ อุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังกลับมาผงาด คาดปีนี้โต 7.4 %

MI GROUP ประกาศวิสัยทัศน์เชิงรุก รับการฟื้นตัวของโลกหลังโควิด คาดเม็ดเงินสื่อโฆษณาบีนี้จะเติบโตถึง 7.4 % คิดเป็นมูลค่ารวม 81,813 ล้านบาท

MI GROUP หรือ Media Inteligence Group เดินหน้าเปิดแผนเชิงรุก ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อมุ่งสู่การเป็น "A Trusted Advisor" ด้วย "Solution Providers" ที่พร้อมจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสื่อโฆษณา ด้วยเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดที่จะเพิ่มมูลค่าการตลาดให้กับลูกค้าท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล

โดยคาดว่า อุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังจะกลับมา จากการพื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งส่งสัญญาณตีในหลากหลายอุตสาหกรรม และยังมองเห็นกระแสการเติบโตด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มขยับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าเม็ดเงินสื่อโฆษณาปีนี้จะเติบโตได้ถึง 7.4% คิดเป็นมูลค่ารวมที่ 81,813 ล้านบาท

เมื่อสัญญาณของเศรษฐกิจไทยในหลายอุตสาหกรรมมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น จากสถานการณ์การระบาดใหญ่ทั่วโลกของ Covid-19 ที่ค่อยๆ ลดระดับความรุนแรงและผลกระทบลง ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ถึงเวลาที่ธุรกิจจะกลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง ขณะเดียวกันสถานการณ์ของโลกธุรกิจในปัจจุบันเต็มไปด้วยการ Disruption ในหลากหลายมีติ และส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคสื่อของคนไทยเปลี่ยนแปลงและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะวิกฤต Covid-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจอย่างมากมาย จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น

อุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังกลับมาผงาด คาดปีนี้โต 7.4 %

ข่าวที่น่าสนใจ

ให้ความสำคัญกับขยายตลาดสื่อโฆษณาไปยังต่างประเทศมากขึ้น

ภวัต เรืองเดชวรชัย PRESIDENT & CEO, MI GROUP กล่าวว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับเปลี่ยนบทบาทตัวเองไปสู่จุดยืนใหม่ จากจุดแข็งเดิมที่เป็น Massive Scale Media Agency ที่มีจุดแข็งในเรื่องของทักษะการวางแผนกลยุทธ์สื่อออฟไลน์และออนไลน์ และราคาสื่อที่ดีที่สุด คุ้มคำที่สุด เพื่อตอบโจทย์จิ๊กซอว์ของนักการตลาดและสื่อสารการตลาดได้อย่างตรงจุด

"ปัจจุบัน Positionng ของ MI GROUP คือการเป็น Solution Providers ให้กับลูกค้า ไม่ใช่แค่ในมุมของการวางแผนกลยุทธ์สื่อและราคาสื่อ แต่เรายังเป็น Trusted Advisor ให้กับลูกค้าในมุมที่รอบด้านมากขึ้น เช่น การสื่อสารทางการตลาดในรูปแบบที่สอดคล้องกับภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไปอย่างมาก

ที่ผ่านมา MI GROUP มองเห็นเทรนด์ของผู้ประกอบการแบรนด์ไทยที่ให้ความสำคัญกับการขยายตลาด และสื่อสารการตลาดไปยังตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) จึงเป็นเหตุผลให้ทาง MI GROUP เน้นการขยายตลาดต่างประทศไปสู่กลุ่มประเทศดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2557 จากความต้องการในการขยายตลาดของลูกค้าไทย ขนาดกลางและขนาดใหญ่

"ในช่วงแรกเราโฟกัสโดยการไปเปิดสำนักงานของ MI GROUP ในกลุ่มประเทศ CLMV โดยขยายตลาดร่วมกับพาร์ทเนอร์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งเมียนมาร์ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ส่งผลให้สำนักงานต่างประเทศที่เราเปิดดำเนินกิจการที่ย่างกุ้งสามารถสร้างรายได้ที่ดีที่สุดให้กับเราในช่วงหลายบีที่ผ่านมา จนมาหยุดชะงักในช่วงปี 2020-2021 ที่เกิดวิกฤต Covid-19 และรัฐประหารในเมียนมาร์ แต่เริ่มเห็นมีสัญญาณบวกและการพื้นตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา

“และเรามองเห็นความเคลื่อนไหวของลูกค้าไทยหลายราย เริ่มมีความต้องการที่จะกลับไปทำการตลาดและสื่อสารการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบเซาท์อีสต์เอเชีย และตะวันออกกลาง ซึ่ง MI GROUP ได้ทำหน้าที่เป็น Trusted Advisors ให้กับลูกค้าไทยกลุ่มนี้มาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา และเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ตลาดที่กำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ"

อุตสาหกรรมสื่อโฆษณากำลังกลับมาผงาด คาดปีนี้โต 7.4 %

MI Bridge กำหนดนโยบายการทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุก

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการรุกตลาดที่ MI GROUP ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น MI GROUP จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจาก Media Intelligence CLMV เป็น MI Bridge ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายการทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุก มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบรนด์ไทยให้มากยิ่งขึ้นด้วย

วิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development, MI GROUP กล่าวถึง เป้าหมายของการก่อตั้ง MI Bridge ขึ้นมา เป้าหมายแรก เพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมสำหรับ Thai Brands ในตลาดและเป้าหมายต่อไป คือการเสริมความแข็งแกร่งของ MI Bridge ในแต่ละประเทศ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้า

เป้าหมายไปยัง International Brands หรือแม้แต่ Local Brands ของประเทศนั้นๆ โดยต้องเสริมจุดแข็งเพื่อแข่งกับ Local a Agencies ดังนั้นเป้าหมายต่อไปอาจเป็นการก่อตั้ง MI Vietnam, MI Cambodia เหมือนที่ได้ก่อตั้งมาแล้ว และที่ผ่านมา MI Myanmar ก็แข็งแกร่งพอที่จะรองรับความต้องการของ Thai Brands, International Brands และ Local Brands ในจำนวนมากได้

"สิ่งที่ถือเป็นเรื่องท้าทายมากที่สุด คือความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพราะ Media Agency เป็นธุรกิจที่ขับเคลื่อนทางวัฒนธรรม ค่านิยม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน้าที่ของเรา คือต้องคิด ต้องคาดการณ์ล่วงหน้าถึงอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทีมงานที่มีทั้งคนไทยและคนท้องถิ่น เพื่อให้ Operation หรือ Co-ordination ราบรื่นที่สุด และได้งานที่ออกมามีประสิทธิภาพสูงที่สุด

"แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็น MI Bridge แต่ในแง่ของ Brand Positioning ของ MI Bridge ยังคงเหมือนเดิมคือความเป็น Trusted Advisor เพราะเป็นจุตเริ่มต้นของเรา ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Trusted Partner Delivering World-Class Services with True Local Insights ประกอบด้วย

1. มาตรฐานการทำงานของแต่ละประเทศแตกต่างกัน จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องยกระดับการทำงานให้ใด้เท่าที่ลูกค้าคาดหวัง หรือคุ้นชิน

2. ด้วยความแตกต่างของทุกๆ บริบทในแต่ละประเทศ จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำความเข้าใจในบริบทของความต่าง และเข้าถึงแก่นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เราจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นพาร์ทเนอร์ที่ใด้รับความเชื่อถือจากลูกค้าของเรา

สำหรับกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้ MI Bridge สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะแบรนด์ไทยในระดับ Big Company มีอยู่ด้วยกัน 2 แนวทาง คือ

1. การเข้าร่วมสมาคมนักธุรกิจไทยในประเทศต่างๆ เพื่อเข้าไปแนะนำตัว พร้อมนำเสนอแนวคิดในเชิงสังสรรค์ การแชร์ความรู้ และข้อมูลทางธุรกิจต่างๆ เพื่อต่อยอดกันไปมา

2. สร้างผลงาน สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบอกต่อกันโดยอัตโนมัติ

"ตัวอย่างของกลุ่มลูกค้าที่ถือเป็น Success Story ของ MI GROUP คือการทำงานร่วมกับ The Mall Group เป็นงานที่ท้าทายและสนุกมาก เพราะหลังจากมาตรการโควิดเริ่มผ่อนคลาย นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาในประเทศไทย เราต้องทำให้แน่ใจว่านักท่องเที่ยวเหล่านั้นจะมาช็อปปิ้งที่ห้างของเรา เราจึงต้องสื่อสารกับเขาตั้งแต่ประเทศต้นทาง ซึ่งทาร์เก็ตของเรามีหลายประเทศมาก และแต่ละประเทศก็มีการ Consume Media ที่แตกต่างกัน

“เช่น ประเทศแถบตะวันอออกกลางค่อนข้างชอบ Content แบบมีเนื้อข่าว ดังนั้นเราจึงต้องไปด้วยการทำ Advertorial หรือประเทศเพื่อนบ้านของเราจะเชื่อถือในตัวนักแสดง ดังนั้นการใช้ KOL (Key Opinion Leader : ผู้นำทางความคิด) จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด และยังต้องดูว่า เราจะทำ PR Pitching ด้วยเนื้อหามุมไหนถึงจะเข้าตานักชาวในแต่ละประเทศที่มีมุมมองต่อประเทศไทยแตกต่างกัน ซึ่งการทำงานในหนึ่งวันที่ตอนเข้าต้องประชุมออนไลน์กับทีมพม่า ช่วงบ่ายกับทีมสิงคโปร์ และเย็นกับทีมดูไบ ทำให้เราต้องใช้ทักษะในการปรับตัว และต้องมี Mindset ที่เปิดกว้างอยู่พอสมควร

“และอีกลูกค้าอย่าง Bangkok Airways ที่มีเส้นทางการบินหลายประเทศ ทั้งในและนอกภูมิภาค MI Bridge เช้ามาลด pain-point ที่เมื่อก่อนมีความลำบากที่ต้องใช้ Local Partners ในแต่ละประเทศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ MI Bridge สามารถเป็น one stop service ให้ได้ และยังยกระดับการทำงานให้เทียบเท่าระดับสากลที่มาจากความเข้าใจในตลาดท้องถิ่นอย่างแท้จริง

สำหรับสัดส่วนรายได้ของ MI Bridge ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5% ของรายได้ทั้งหมด ถือว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น โดยปีหน้า 2023 ทาง MI GROUP คาดว่า สัดส่วนรายได้จาก MI Bridge จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด และ MI Bidge จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ลูกค้าไทยสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจในตลาดต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความท้าทายสำหรับ MI Bridge เป็นอย่างมาก

"โดยแผนการขยายธุรกิจในประเทศไทยของ MI GROUP ทั้งในรูปแบบเดิม และรูปแบบใหม่ๆ จะยังดำเนินต่อไปในแนวทางของการสร้าง New S-Curve ซึ่ง MI GROUP ยังคาดหวังว่า MI Bridge จะเป็นหน่วยงานที่เพิ่มความแข็งแกร่งและสร้างความยั่งยืนให้กับ MI GROUP ในระยะยาว เพราะเป็นหน่วยงานที่เข้าไปทำงานโดยตรงกับลูกค้าไทยในการขยายตลาดให้กับลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นความยั่งยืนในมุมของธุรกิจลูกค้าเช่นเดียวกัน"

Mi Learn Lab ตอบโจทย์ Marketing Insights

สำหรับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่รวดเร็วจากหลายแหล่ง ทำให้หลายๆ ครั้งเจ้าของแบรนด์ หรือนักการตลาดไม่สามารถวัดผล หรือเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างสมเหตุสมผล ในฐานะที่ MI GROUP เป็นเอเยนซีที่ให้คำปรึกษาและช่วยวางกลยุทธ์การตลาด และการสื่อสารทางการตลาดด้วยประสบการณ์ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน MI Group จึงมีแนวคิดในการเป็นตัวแทนแหล่งข้อมูลที่พร้อมส่งมอบข้อมูลสำคัญทางการตลาดให้กับพันธมิตรของ MI Group ด้วยชุดข้อมูลที่ได้ผ่านการวิเคราะห์เจาะลึกด้วยมุมมอง ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของ MI GROUP ภายใต้รูปแบบการทำงานของโครงการ MI Learn Lab

ภวัต กล่าวว่า MI Learn Lab เป็นหน่วยงานใหม่ที่ MI GROUP ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลที่ได้จาก Marketng Tool ใหม่ๆ และช่วยส่งมอบข้อมูลในเชิง Marketing Insights ที่เป็นประโยชน์ให้กับพันธมิตรต่างๆ ของ MI GROUP โดยเฉพาะลูกค้า คู่ค้า และสำนักข่าว/สื่อต่างๆ นอกจากนี้ MI Learn Lab ยังมองไปถึงการเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอย่าง SMEs ผ่านการจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางในการนำเสนอองค์ความรู้ใหม่ๆ สำหรับ SMES โดยเฉพาะอีกด้วย ภายใต้กรอบการทำงานของ MI Learn Lab จะมีทั้งชุดข้อมูลที่ปรับปรุงทุกเดือน เช่น มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาของตลาดประเทศไทย และมีข้อมูลที่เป็น Market Insights ต่างๆ ที่ผ่านการศึกษาข้อมูลแบบเจาะลึกเป็นพิเศษ โดยแต่ละหัวข้อจะเน้นการทำข้อมูลเชิงลึกที่ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน

"ความต้องการของลูกค้าไทยเมื่ออยู่ในสนามการแข่งข้นในตลาดต่างประเทศ มีความคล้ายคลึงกับการทำตลาดในเมืองไทย ซึ่งลูกค้าจะมองหาใน 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. ROAS (Return on Ad Spend) ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ Awareness หรือ Sales หรือจะไรก็ตาม ที่เป็นไปตามโจทย์ของลูกค้า ต้องมาจาก 2. Market Insight ที่ละเอียดและแม่นยำ ไม่ว่าจะจาก Competitors หรือ Customers ตรงนี้เป็นหน้าที่ของ MI Bridge ที่ต้องมีให้กับลูกค้าเพื่อใช้วางแผนกลยุทธ์ แต่การทำธุรกิจในต่างประเทศ สิ่งที่นักธุรกิจมองหาและหาค่อนข้างหายาก คือ 3. Trust ด้วยเพราะมีความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ต่างความคิด มีดีมีร้าย

“โดย MI Bridge มีทีมงานคนไทย จึงต้องหาทางออกให้กับลูกค้าหลายแบรนด์ ซึ่งแบรนด์ไทยเมื่อออกไปทำตลาดต่างประเทศ จะค่อนข้างได้เปรียบ เพราะความเป็นประเทศไทย เป็นคนไทยวัฒนธรรมไทย สินค้าไทย สื่อบันเทิงไทย ทุกอย่างที่เป็นของไทยมักได้รับการชื่นชม และตอบรับเป็นอย่างดีจากรประเทศเพื่อนบ้าน และในหลากหลายประเทศ"

สุดท้ายนี้ ภวัตกล่าวว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2565 (อ้างอิงข้อมูลจากNielsen และ DAAT) มีตัวเลขการใช้สื่อโฆษณาคิดเป็นมูลค่ารวม 60,739 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.86% เมื่อเทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยแบ่งเป็นสี่อ TV 24, 864 ล้านบาท Internet 19,816 ล้านบาท Out of Home 7,593 ล้าน บาท และสื่ออื่นๆ รวม 5,466 ล้านบาท (Cinema, Magazines, Newspapers และ Radio)

“มูลค่ารวมการใช้สื่อจนถึงสิ้นปี 2565 คาดว่าจะจบปีที่ 81,813 ล้านบาท เติบโต 7.4% เมื่อเทียบกับปี 2565 แบ่งเป็นสื่อ TV 37,598 ล้านบาท, Internet 26,623 ล้านบาท, Out of Home 10,105 ล้านบาท, Radio 2,656 ล้านบาท, Cinema 2,462 ล้านบาท และอื่นๆ รวม 2,369 ล้านบาท (Newspapers และ Magazines) ส่วนในปี 2566 มีการประมาณการไว้ว่า มูลค่าการใช้สื่อจะเพิ่มขึ้นเป็น 85,220 เติบโตเพิ่มขึ้น 4.2% แบ่งเป็นสื่อ TV 44.6%, Internet 33.2% และ Out of Home 13.5% และสื่ออื่นๆ รวม 8.7%”

related