หมอธีระ เผย "WHO" ส่งสัญญาณเตือนเฝ้าระวัง โควิด19,ไข้หวัดใหญ่,RSV ระบาดหนัก ชี้อัตราการติดเชื้อแพร่เชื้ออยู่ในระดับสูงมาก
สถานการณ์โควิด-19 ของประเทศไทยในปัจจุบัน มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ช่วงขาขึ้นของการระบาดลักษณะ Small wave โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ มีการจัดกิจกรรมคนรวมกลุ่มกันจำนวนมาก
ล่าสุด รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน) โดยมีข้อความระบุว่า
เสียงเตือนต่อเนื่องจาก WHO
Dr.Maria Van Kerkhove, COVID-19 technical lead ขององค์การอนามัยโลก ยังส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่องให้ตระหนักถึงสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ และ RSV
ปัจจุบันอัตราการติดเชื้อแพร่เชื้ออยู่ในระดับสูงมาก จำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรักไปรับวัคซีนให้ครบ
• เว้นระยะห่างจากคนอื่น ระวังเรื่องการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่นนอกบ้าน ไม่แชร์ของกินของใช้กัน
• ระวังสถานที่แออัด ระบายอากาศไม่ดี หากประกอบกิจการใดๆ ก็ควรหาทางปรับปรุงเรื่องการระบายอากาศในสถานที่ของตนเองให้ดี
• ล้างมือทุกครั้งหลังจับต้องสิ่งของสาธารณะ พกเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ไว้ติดตัวจะได้ใช้ได้สะดวก
• ที่สำคัญมากคือ ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอเวลาออกไปตะลอนนอกบ้าน ทำงาน เรียน หรือเดินทางท่องเที่ยว
• หากไม่สบาย ควรแยกตัวจากผู้อื่น ตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• กรมวิทย์ฯ พบโควิด BA.2.75 เพิ่มขึ้น 76% กลายเป็นสายพันธุ์หลัก
• สธ. ชี้โควิด 19 อยู่ในช่วงขาขึ้น แบบ Small wave คาดยอดผู้ป่วยพีคสุดหลังปีใหม่
• "หมอธีระ" ชี้ โควิด-19 แพร่เชื้อได้ทั้งที่ยังไม่มีอาการ แพร่ไว ป่วยนานขึ้น
ข้อคิดจาก Anthony Fauci
New York Times วันที่ 10 ธันวาคม 2565 เผยแพร่บทความที่ดีมากเรื่องหนึ่ง เป็นข้อคิดจาก Dr.Anthony Fauci
สะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั่วโลก บทเรียนที่ทุกคนควรรับรู้ และหาทางช่วยกันจัดการและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ท่อนหนึ่งของบทความ ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียมากมายนั้นเป็นผลกระทบจากนโยบายที่ไม่ถูกทิศถูกทาง
อันเป็นผลจากการเมือง ข้อมูลข่าวสาร และวิชาการที่ไม่ถูกต้อง
สิ่งที่เราเรียนรู้จากวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรอบสองปีที่ผ่านมานั้น มีมากมาย ทั้งเรื่องการควบคุมป้องกันโรค วัคซีน ยา
ความกระจอกหรือไม่กระจอกของไวรัส ความเพียงพอของทรัพยากรว่าเพียงพอจริงหรือไม่
ทั้งบริการตรวจโรค เตียง บุคลากร ตลอดจนตัวเลขต่างๆ ในระบบรายงานว่าสะท้อนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ และอื่นๆ
ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ผลักดัน ให้เกิดนโยบายที่มาจากความรู้ที่ถูกต้องทางวิชาการ พิสูจน์ได้ ไม่บิดเบือน ไม่ใช้ความเชื่องมงาย หรือชงมาจากประโยชน์ทับซ้อนหรือแอบแฝง
การมีส่วนร่วมนั้นทำได้หลากหลายทาง ทั้งในหมู่นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ บุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ
สามารถช่วยกันออกมาชี้นำสังคมด้วยข้อมูลวิชาการที่ถูกต้อง ทันสมัย มีแหล่งที่มา และเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานทางการแพทย์
ตลอดจนสื่อมวลชนทั้งแบบสื่อสิ่งพิมพ์ และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ก็สามารถมีส่วนร่วมได้
โดยการนำเสนอข้อมูลวิชาการที่ถูกต้อง ตรวจสอบได้ พิสูจน์ได้ เพื่อสื่อสารให้แก่สาธารณะในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย
หากทุกสังคม มีกลไกทางสังคมข้างต้น ก็จะเป็น check and balance system ที่ดี ที่จะช่วยถ่วงดุล
ยามที่เกิดปัญหาด้านนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของทุกคนในสังคมท่ามกลางวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
นั่นจะนำไปสู่การทำให้คนในสังคมมีความรู้เท่าทันสถานการณ์ (Health literate society) สามารถรับมือกับภาวะคุกคามต่างๆ ได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวให้อยู่รอดปลอดภัยได้อย่างยั่งยืน (Resilience)
มองไปยาวๆ
พฤติกรรมสุขภาพ และความใส่ใจเรื่องสุขภาพของแต่ละคน จะเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงที่แต่ละคนจะเผชิญ และความเสี่ยงนั้นไม่ได้ส่งผลต่อตนเองเท่านั้น แต่จะไปสู่คนใกล้ชิดทั้งในครอบครัว และในเครือข่ายสังคมที่คนคนนั้นพบปะ
โควิด-19 ติด ไม่ใช่แค่คุณ ไม่ได้แค่ชิลๆ แล้วหายป่วย หรือตาย แต่ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติระยะยาวอย่าง Long COVID ด้วย
ป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ หรือไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ ย่อมดีที่สุด
การใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง สำคัญมาก
ที่มา : Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)