SHORT CUT
สัปปายะสภาสถาน 12 ปีสร้าง ใช้ 5 ปี งบบานปลายกว่า 2.3 หมื่นล้าน ล่าสุด ขอเพิ่มอีก 2.7 พันล้าน ท่ามกลางคำถามคุ้มค่า รอดคดี ค่าโง่ 1.5 พันล้าน แต่สารพัดปัญหา-คำร้องค้าง ป.ป.ช.
อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ หรือ "สัปปายะสภาสถาน" ที่ตั้งตระหง่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 424,000 ตารางเมตร และได้รับขนานนามว่าเป็นอาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบร่มเย็นสบายดังความหมายของชื่อ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างนี้กลับเต็มไปด้วยสารพัดปัญหาและความไม่สงบ ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างที่ยืดเยื้อ งบประมาณที่บานปลาย การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ไปจนถึงความไม่สมบูรณ์ของอาคารหลังจากเปิดใช้งานได้เพียงไม่กี่ปี และล่าสุด ประเด็นร้อนกลับมาอีกครั้งเมื่อรัฐสภาเตรียมขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมจำนวนมหาศาล ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความคุ้มค่าและความจำเป็น
โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่เริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 มีการจัดการประกวดแบบและได้ผู้ชนะคือ "กลุ่มสงบ๑๐๕๑" ก่อนจะมีการทำสัญญาก่อสร้างในเดือนเมษายน 2556 กับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และเริ่มวางเสาเข็มในวันที่ 8 มิถุนายน 2556 โดยมี “ชัย ชิดชอบ” เป็นประธานรัฐสภาในขณะนั้น
ระยะเวลาการก่อสร้างที่กำหนดไว้กลับยืดเยื้อออกไปอย่างมาก มีการขยายสัญญาถึง 4 ครั้ง รวมระยะเวลาที่ขยายออกไปทั้งสิ้น 1,864 วัน สัญญาครั้งที่ 1 ขยาย 387 วัน (25 พ.ย. 2558 - 15 ธ.ค. 2559) ครั้งที่ 2 ขยาย 421 วัน (16 ธ.ค. 2559 - 9 ก.พ. 2561) ครั้งที่ 3 ขยาย 674 วัน (10 ก.พ. 2561 - 15 ธ.ค. 2562) และครั้งที่ 4 ขยาย 382 วัน (16 ธ.ค. 2562 - 31 ธ.ค. 2563) จนกระทั่งคณะกรรมการตรวจการจ้างมีมติไม่ขยายสัญญาครั้งที่ 5 ให้บริษัท ซิโน-ไทยฯ ในวันที่ 28 ธันวาคม 2563 ในยุคที่ “ชวน หลีกภัย” เป็นประธานรัฐสภา พร้อมเรียกค่าปรับวันละ 12 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 กระบวนการก่อสร้างทั้งหมดกินเวลากว่า 10 ปี และมีการตรวจรับงานแบบ 100% ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 หลังจากเริ่มลงเสาเข็มรวมเป็นเวลา 12 ปี
นอกจากระยะเวลาที่ล่าช้าแล้ว งบประมาณก่อสร้างก็บานปลายอย่างมหาศาล จากงบประมาณเริ่มต้นที่ตั้งไว้ 12,280 ล้านบาท ผ่านไป 10 ปี งบกลับบานปลายไปถึง 22,987 ล้านบาท
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ จากปัญหาการก่อสร้างที่ยืดเยื้อแทนที่รัฐสภาจะได้ค่าชดเชยจากเอกชน กลับกลายเป็นว่าสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะเลขาธิการรัฐสภา กลับถูกบริษัท ซิโน-ไทยฯ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,590 ล้านบาท โดยอ้างว่าฝ่ายรัฐสภาส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างล่าช้าเป็นเหตุให้การก่อสร้างเกินกำหนด
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 “ยกฟ้อง” ด้วยเหตุผลว่า ทั้งผู้ฟ้องคดี (ซิโน-ไทยฯ) และผู้ถูกฟ้องคดี (รัฐสภา) ต่างรับรู้และตระหนักถึงปัญหาการส่งมอบพื้นที่ และที่สำคัญ สัญญาพิพาทได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อ 1 วรรคสองว่า ในกรณีที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้ อีกทั้งในข้อ 24.2 ของสัญญา ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายเวลาก่อสร้าง ซึ่งได้มีการขยายให้ไปแล้วถึง 4 ครั้ง รวม 1,864 วัน ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่าฝ่ายรัฐสภาได้ทำหน้าที่พิจารณาขยายเวลาให้แล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น การชนะคดีนี้ถือว่าฝ่ายรัฐสภาไม่ต้องเสียค่าโง่จำนวน 1,590 ล้านบาท แม้รัฐสภาจะไม่ได้รับค่าปรับวันละ 12 ล้านบาทจากเอกชนก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงโควิด-19
แม้จะมีการตรวจรับอาคารรัฐสภาไปแล้ว 100% และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการมาเพียง 5 ปีเศษ อาคารแห่งนี้ยังคงถูกอธิบายว่าเป็นแบบ “สร้างไป ซ่อมไป” และยังคงมีสารพัดคำร้องที่ค้างอยู่ในกระบวนการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกาะติดปัญหานี้มาตลอด ได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารรัฐสภาฯ ถึง 56 คำร้องที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. เขายังมองว่าการตั้งกรรมการอิสระตรวจสอบเพียง 6 เรื่อง ในยุคที่ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 นั้นเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ในขณะที่ อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบัน ได้ตรวจรับอาคารรัฐสภา 100% ไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ทิ้งคำถามว่าเรื่องฉาวกำลังถูกตัดตอนหรือไม่
ล่าสุด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อรัฐสภาเตรียมขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมอีก 15 โครงการ มูลค่าสูงถึง 2,773 ล้านบาท ท่ามกลางคำถามถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นของงบประมาณ ทั้งที่เพิ่งเปิดใช้ไปได้เพียง 5 ปี
ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯ คนที่สอง ได้ชี้แจงประเด็นนี้ โดยระบุว่า งบประมาณที่ขอไปไม่ใช่ “งบซ่อมสร้าง (รีโนเวต)” แต่เป็น “งบต่อเติม” เนื่องจากยังมีส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการและต้องทำในเฟส 2-3 โดยการก่อสร้างเดิมเป็นเพียงการเตรียมพื้นที่ไว้รองรับการดำเนินการในอนาคต เขายังกล่าวว่า นี่เป็นเพียงร่างงบประมาณปี 2569 ที่ยังไม่สิ้นสุด และจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มีทั้ง สส. และบุคคลภายนอก
10 โครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2569 โดย ครม. (อยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ) รวม 956 ล้านบาท
ในมุมของ วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้ง “3 ปมสงสัย” เกี่ยวกับงบประมาณที่ขอไป โดยเฉพาะส่วนที่ได้รับการจัดสรรในปี 2569
1.ปัญหาที่จอดรถและน้ำรั่วซึม: เขาระบุว่า ปัจจุบันพบปัญหาน้ำรั่วซึมบริเวณชั้น B2 กว่า 100 จุด เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนการตรวจรับงานและเขาได้ร้องไปที่ ป.ป.ช. และแจ้งสภาฯ ให้ชะลอการตรวจรับ เพราะการก่อสร้างผิดแบบ คือไม่มีผนังกันซึม แต่กลับมีการตรวจรับงานภายหลัง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการใช้งบประมาณที่เหลือจากสภาฯ ไปจ้างเอกชนออกแบบทำที่จอดรถใต้ดินเพิ่มอีก 106 ล้านบาท ซึ่งเป็นคนละส่วนกับรายการก่อสร้างอาคารจอดรถที่ระบุอีก 1,500 ล้านบาท เขาตั้งข้อสงสัยว่าปัญหาเก่านี้ได้รับการแก้ไขหรือไม่ และในการประกวดราคาออกแบบกลับระบุว่าเป็นออกแบบอาคารจอดรถใต้ดินซึ่งย้อนแย้ง เขาจึงตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีเจตนากลบเรื่องเก่า เพื่อใช้เรื่องใหม่เข้ามาแทน
2.งบปรับปรุง 'ศาลาแก้ว': งบ 123 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงศาลาแก้ว 2 หลัง ซึ่งข้อมูลจากรัฐสภาระบุว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้ในงานพระราชพิธี จากการตรวจสอบพบความผิดปกติ 3 ส่วน คือ ทางเดินเท้า ที่กำหนดให้ใช้หิน 60x60 ซม. แต่ใช้จริงขนาด 40x40 ซม. ทางเดินเท้า ตามแบบต้องมีคานรองรับ แต่ก่อสร้างจริงทางเท้ากับคานรองรับกลับไม่มีการเชื่อมติดกัน และบริเวณรอบศาลาแก้วซึ่งมีสระน้ำ พบกระเบื้องใต้สระน้ำหลุดล่อนจนยกตัวโผล่เหนือน้ำ จุดนี้เองที่ทำให้น้ำซึมไปยังชั้น B1 เขามองว่าการปรับปรุงศาลาแก้วด้วยการติดแอร์ อาจเป็นการ เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางแห่งหรือไม่
3.งบปรับปรุงพื้นที่สระมรกต: งบประมาณสำหรับปรับปรุงพื้นที่บริเวณสระมรกต ซึ่งเดิมมีเจตนาให้ใช้ความชื้นจากน้ำช่วยประหยัดไฟ ไม่ต้องติดแอร์ เหตุผลที่อ้างในการปรับปรุงคือปัญหายุงลายและความปลอดภัยในการคัดกรองบุคคลขึ้นห้องสมุดชั้น 8-9 แต่วิลาศมองว่ามาตรการตรวจบุคคลเข้าออกรัฐสภาควรเพียงพออยู่แล้ว สิ่งที่เป็นข้อพิรุธคือบริเวณดังกล่าวมีการปูพื้นด้วยไม้ตะเคียนทอง แบบระบุขนาดไม้ต้องยาวไม่น้อยกว่า 3 เมตร และร่องห่างไม่เกิน 2 มม. แต่เมื่อนำผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบกลับพบว่า มีไม้ปลอมรวมอยู่ด้วย และความยาวไม้ผิดแบบ เขาจึงสงสัยว่าการใช้งบจำนวนนี้อาจเป็นการ ปกปิดเรื่องเก่า เพื่อไม่ให้ถูกตรวจสอบหรือไม่
วิลาศยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนตรวจรับงานวันที่ 4 ก.ย. 2566 กลับยังไม่มีการแก้ไข แต่มีการตรวจรับงานไปแล้ว ทั้งที่งานยังอยู่ในระยะเวลาค้ำประกัน 2 ปี ซึ่งตามสัญญาผู้รับจ้างต้องแก้ไขภายใน 15 วันและระยะเวลาแก้ไขต้องนำไปบวกกับเวลาค้ำประกัน
ปมพิรุธและปัญหาสารพัดเหล่านี้ ทำให้รัฐสภากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ต้องจับตาการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 ที่จะเข้าสู่สภาฯ วาระแรกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ โดยเฉพาะบทบาทของ “ขั้วฝ่ายค้าน” ซึ่งมีธงชัดเจนที่จะรอจังหวะในชั้นกรรมาธิการเพื่อ “หั่นทิ้ง” งบในส่วนนี้ หวังขยี้แผลรัฐบาล โดยเฉพาะการเชื่อมโยงไปยัง พรรคสีน้ำเงิน ซึ่งถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับจุดเริ่มต้นการประกวดราคาก่อสร้างและการวางเสาเข็มในยุคที่ “พ่อครูใหญ่” เป็นประธานสภาฯ และยังโยงไปถึงธุรกิจครอบครัวผู้นำค่ายสีน้ำเงินที่คว้างานก่อสร้างรัฐสภาไปได้
ขณะที่ “ขั้วรัฐบาล” เองก็เผชิญการต่อรองวัดพลังภายใน ท้ายที่สุดแล้ว ประเด็นร้อนเรื่องงบประมาณนี้จะหาช่องทางเดินหน้าหรือหาทางลงได้อย่างไร ยังคงต้องติดตามต่อไป
โครงการอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ “สัปปายะสภาสถาน” เป็นมหากาพย์การก่อสร้างที่เต็มไปด้วยปัญหาและความท้าทาย ตลอดระยะเวลา 12 ปีตั้งแต่เริ่มลงเสาเข็ม จนถึงการตรวจรับงานเมื่อปีที่แล้ว อาคารแห่งนี้ใช้งบประมาณบานปลายไปเกือบเท่าตัวจากที่ตั้งไว้ ต้องเผชิญกับการขยายสัญญานับครั้งไม่ถ้วน และการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับเหมา แม้รัฐสภาจะชนะคดีมูลค่า 1.59 พันล้านบาท แต่ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของอาคารยังคงอยู่ การที่รัฐสภาเตรียมขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมกว่า 2.7 พันล้านบาท สำหรับ 15 โครงการ โดยอ้างว่าเป็นงบต่อเติมในเฟส 2-3 ได้จุดประเด็นคำถามถึงความคุ้มค่าและความโปร่งใส โดยเฉพาะข้อสงสัยที่อดีตประธาน กมธ.ป.ป.ช. ตั้งขึ้นเกี่ยวกับความจำเป็นและข้อพิรุธในบางโครงการ ประเด็นเหล่านี้กำลังจะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างเข้มข้นในสภาฯ ในช่วงพิจารณางบประมาณปี 2569 ซึ่งจะเป็นบททดสอบการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติเอง และยังสะท้อนถึงการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองที่แฝงอยู่ในกระบวนการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน
อ้างอิง