svasdssvasds

รัฐสภาไทยงบบานปลาย 2.3 หมื่นล้าน เปิด 5 ปี ขอเพิ่มงบ 2.7 พันล้าน

รัฐสภาไทยงบบานปลาย 2.3 หมื่นล้าน เปิด 5 ปี ขอเพิ่มงบ 2.7 พันล้าน

สัปปายะสภาสถาน 12 ปีสร้าง ใช้ 5 ปี งบบานปลายกว่า 2.3 หมื่นล้าน ล่าสุด ขอเพิ่มอีก 2.7 พันล้าน ท่ามกลางคำถามคุ้มค่า รอดคดี ค่าโง่ 1.5 พันล้าน แต่สารพัดปัญหา-คำร้องค้าง ป.ป.ช.

SHORT CUT

  • อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ หรือ "สัปปายะสภาสถาน" ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 12 ปี นับตั้งแต่เริ่มลงเสาเข็มในปี 2556 และมีการขยายสัญญาถึง 4 ครั้ง จากงบประมาณเริ่มต้น 12,280 ล้านบาท ได้บานปลายไปถึงกว่า 22,987 ล้านบาท ในเวลา 10 ปี นอกจากนี้ยังพบปัญหาที่ทำให้ต้องอยู่ในสภาพ "สร้างไป ซ่อมไป" หลังเปิดใช้งาน
  • แม้รัฐสภาจะ ชนะคดี ที่บริษัท ซิโน-ไทยฯ ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,590 ล้านบาท โดยศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา "ยกฟ้อง" เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2567 ทำให้รัฐสภารอดพ้นจากการเสีย "ค่าโง่" จำนวนดังกล่าว แต่ล่าสุดกลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอีกครั้ง หลังจากรัฐสภาเตรียมขอ งบประมาณเพิ่มอีก 2,773 ล้านบาท
  • แม้จะมีการตรวจรับงานไปแล้ว 100% แต่ก็ยังคงมี สารพัดปมร้อน และคำร้องที่ค้างอยู่ในกระบวนการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ชี้ว่า มีคำร้องที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ที่เขายื่นเองค้างอยู่ใน ป.ป.ช. ถึง 56 คำร้อง. มีการตั้งข้อสงสัยถึง 3 ปมล่าสุด เช่น ปัญหา ที่จอดรถใต้ดินชั้น B2 มีน้ำรั่วซึมกว่า 100 จุด ศาลาแก้ว 2 หลังก่อสร้างผิดแบบ และ พบไม้ปลอมบริเวณสระมรกต ซึ่งผิดจากแบบที่ระบุว่าต้องใช้ไม้ตะเคียนทองความยาวไม่น้อยกว่า 3 เมตร. ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนตรวจรับงานแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข, ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการใช้งบประมาณจำนวนมากอาจเป็นการปกปิดเรื่องเก่าเพื่อไม่ให้ถูกตรวจ

สัปปายะสภาสถาน 12 ปีสร้าง ใช้ 5 ปี งบบานปลายกว่า 2.3 หมื่นล้าน ล่าสุด ขอเพิ่มอีก 2.7 พันล้าน ท่ามกลางคำถามคุ้มค่า รอดคดี ค่าโง่ 1.5 พันล้าน แต่สารพัดปัญหา-คำร้องค้าง ป.ป.ช.

อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ หรือ "สัปปายะสภาสถาน" ที่ตั้งตระหง่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 424,000 ตารางเมตร และได้รับขนานนามว่าเป็นอาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบร่มเย็นสบายดังความหมายของชื่อ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างนี้กลับเต็มไปด้วยสารพัดปัญหาและความไม่สงบ ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างที่ยืดเยื้อ งบประมาณที่บานปลาย การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ไปจนถึงความไม่สมบูรณ์ของอาคารหลังจากเปิดใช้งานได้เพียงไม่กี่ปี และล่าสุด ประเด็นร้อนกลับมาอีกครั้งเมื่อรัฐสภาเตรียมขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมจำนวนมหาศาล ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความคุ้มค่าและความจำเป็น

มหากาพย์การก่อสร้างที่ยืดเยื้อและงบประมาณที่บานปลาย

โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่เริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 มีการจัดการประกวดแบบและได้ผู้ชนะคือ "กลุ่มสงบ๑๐๕๑" ก่อนจะมีการทำสัญญาก่อสร้างในเดือนเมษายน 2556 กับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และเริ่มวางเสาเข็มในวันที่ 8 มิถุนายน 2556 โดยมี “ชัย ชิดชอบ” เป็นประธานรัฐสภาในขณะนั้น

ระยะเวลาการก่อสร้างที่กำหนดไว้กลับยืดเยื้อออกไปอย่างมาก มีการขยายสัญญาถึง 4 ครั้ง รวมระยะเวลาที่ขยายออกไปทั้งสิ้น 1,864 วัน สัญญาครั้งที่ 1 ขยาย 387 วัน (25 พ.ย. 2558 - 15 ธ.ค. 2559) ครั้งที่ 2 ขยาย 421 วัน (16 ธ.ค. 2559 - 9 ก.พ. 2561) ครั้งที่ 3 ขยาย 674 วัน (10 ก.พ. 2561 - 15 ธ.ค. 2562) และครั้งที่ 4 ขยาย 382 วัน (16 ธ.ค. 2562 - 31 ธ.ค. 2563) จนกระทั่งคณะกรรมการตรวจการจ้างมีมติไม่ขยายสัญญาครั้งที่ 5 ให้บริษัท ซิโน-ไทยฯ ในวันที่ 28 ธันวาคม 2563 ในยุคที่ “ชวน หลีกภัย” เป็นประธานรัฐสภา พร้อมเรียกค่าปรับวันละ 12 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 กระบวนการก่อสร้างทั้งหมดกินเวลากว่า 10 ปี และมีการตรวจรับงานแบบ 100% ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 หลังจากเริ่มลงเสาเข็มรวมเป็นเวลา 12 ปี

นอกจากระยะเวลาที่ล่าช้าแล้ว งบประมาณก่อสร้างก็บานปลายอย่างมหาศาล จากงบประมาณเริ่มต้นที่ตั้งไว้ 12,280 ล้านบาท ผ่านไป 10 ปี งบกลับบานปลายไปถึง 22,987 ล้านบาท

คดีฟ้องร้องและการหลีกเลี่ยง 'ค่าโง่'

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ จากปัญหาการก่อสร้างที่ยืดเยื้อแทนที่รัฐสภาจะได้ค่าชดเชยจากเอกชน กลับกลายเป็นว่าสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะเลขาธิการรัฐสภา กลับถูกบริษัท ซิโน-ไทยฯ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,590 ล้านบาท โดยอ้างว่าฝ่ายรัฐสภาส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างล่าช้าเป็นเหตุให้การก่อสร้างเกินกำหนด

อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 “ยกฟ้อง” ด้วยเหตุผลว่า ทั้งผู้ฟ้องคดี (ซิโน-ไทยฯ) และผู้ถูกฟ้องคดี (รัฐสภา) ต่างรับรู้และตระหนักถึงปัญหาการส่งมอบพื้นที่ และที่สำคัญ สัญญาพิพาทได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อ 1 วรรคสองว่า ในกรณีที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้ อีกทั้งในข้อ 24.2 ของสัญญา ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายเวลาก่อสร้าง ซึ่งได้มีการขยายให้ไปแล้วถึง 4 ครั้ง รวม 1,864 วัน ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่าฝ่ายรัฐสภาได้ทำหน้าที่พิจารณาขยายเวลาให้แล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น การชนะคดีนี้ถือว่าฝ่ายรัฐสภาไม่ต้องเสียค่าโง่จำนวน 1,590 ล้านบาท แม้รัฐสภาจะไม่ได้รับค่าปรับวันละ 12 ล้านบาทจากเอกชนก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงโควิด-19

เปิดใช้ 5 ปี แต่ยัง 'สร้างไป ซ่อมไป' สู่การของบประมาณเพิ่มเติม 2.7 พันล้าน

แม้จะมีการตรวจรับอาคารรัฐสภาไปแล้ว 100% และเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการมาเพียง 5 ปีเศษ อาคารแห่งนี้ยังคงถูกอธิบายว่าเป็นแบบ “สร้างไป ซ่อมไป” และยังคงมีสารพัดคำร้องที่ค้างอยู่ในกระบวนการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกาะติดปัญหานี้มาตลอด ได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารรัฐสภาฯ ถึง 56 คำร้องที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. เขายังมองว่าการตั้งกรรมการอิสระตรวจสอบเพียง 6 เรื่อง ในยุคที่ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 นั้นเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง ในขณะที่ อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบัน ได้ตรวจรับอาคารรัฐสภา 100% ไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ทิ้งคำถามว่าเรื่องฉาวกำลังถูกตัดตอนหรือไม่

ล่าสุด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อรัฐสภาเตรียมขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมอีก 15 โครงการ มูลค่าสูงถึง 2,773 ล้านบาท ท่ามกลางคำถามถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นของงบประมาณ ทั้งที่เพิ่งเปิดใช้ไปได้เพียง 5 ปี

ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯ คนที่สอง ได้ชี้แจงประเด็นนี้ โดยระบุว่า งบประมาณที่ขอไปไม่ใช่ “งบซ่อมสร้าง (รีโนเวต)” แต่เป็น “งบต่อเติม” เนื่องจากยังมีส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการและต้องทำในเฟส 2-3 โดยการก่อสร้างเดิมเป็นเพียงการเตรียมพื้นที่ไว้รองรับการดำเนินการในอนาคต เขายังกล่าวว่า นี่เป็นเพียงร่างงบประมาณปี 2569 ที่ยังไม่สิ้นสุด และจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มีทั้ง สส. และบุคคลภายนอก

โครงการงบประมาณเพิ่มเติม 15 โครงการ แบ่งเป็น

10 โครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2569 โดย ครม. (อยู่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ) รวม 956 ล้านบาท

  1. ก่อสร้างและปรับปรุงพื้นที่พิพิธภัณฑ์รัฐสภา (รวมค่าจ้างที่ปรึกษา) 44 ล้านบาท
  2. พัฒนาระบบภาพยนตร์ 4D ห้องบรรยายใหญ่ B1-2 งบ 180 ล้านบาท
  3. ปรับปรุงไฟส่องสว่างเพิ่มเติมบริเวณห้องประชุมสัมมนาชั้น B1 และ B2 งบ 117 ล้านบาท
  4. ปรับปรุงศาลาแก้ว 2 หลัง งบ 123 ล้านบาท
  5. ปรับปรุงห้องประชุม งบ 118 ล้านบาท
  6. ปรับปรุงพื้นที่ครัวของอาคารรัฐสภา งบ 117 ล้านบาท
  7. ติดตั้งภาพและเสียงประจำห้องจัดเลี้ยง ชั้น B2 งบ 99 ล้านบาท
  8. จัดซื้อจอ LED Display งบ 72 ล้านบาท
  9. พัฒนาปรับปรุงพื้นที่ส่วนภูมิทัศน์และผลิตปุ๋ยอินทรีย์ งบ 43 ล้านบาท
  10. ปรับปรุงห้องจัดเลี้ยง ชั้น 1 โซน C งบ 43 ล้านบาท

5 โครงการที่หน่วยงานทำคำขอ แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2569 โดย ครม. รวม 1,817 ล้านบาท

  1. ก่อสร้างอาคารจอดรถรัฐสภา (เพิ่มเติม) รวมค่าควบคุมงานและค่าจ้างที่ปรึกษา งบ 1,529 ล้านบาท
  2. ออกแบบและตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา ในห้องประชุมสุริยัน งบ 133 ล้านบาท
  3. จัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัย งบ 74 ล้านบาท
  4. ระบบป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 และเสริมสร้างคุณภาพอากาศ งบ 50 ล้านบาท
  5. จ้างงานซ่อมแซมปรับปรุงเสาไม้สัก งบ 31 ล้านบาท

อดีตประธาน กมธ.ป.ป.ช. ชี้ '3 ปมสงสัย' ในคำของบใหม่

ในมุมของ วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้ง “3 ปมสงสัย” เกี่ยวกับงบประมาณที่ขอไป โดยเฉพาะส่วนที่ได้รับการจัดสรรในปี 2569

1.ปัญหาที่จอดรถและน้ำรั่วซึม: เขาระบุว่า ปัจจุบันพบปัญหาน้ำรั่วซึมบริเวณชั้น B2 กว่า 100 จุด เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนการตรวจรับงานและเขาได้ร้องไปที่ ป.ป.ช. และแจ้งสภาฯ ให้ชะลอการตรวจรับ เพราะการก่อสร้างผิดแบบ คือไม่มีผนังกันซึม แต่กลับมีการตรวจรับงานภายหลัง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการใช้งบประมาณที่เหลือจากสภาฯ ไปจ้างเอกชนออกแบบทำที่จอดรถใต้ดินเพิ่มอีก 106 ล้านบาท ซึ่งเป็นคนละส่วนกับรายการก่อสร้างอาคารจอดรถที่ระบุอีก 1,500 ล้านบาท เขาตั้งข้อสงสัยว่าปัญหาเก่านี้ได้รับการแก้ไขหรือไม่ และในการประกวดราคาออกแบบกลับระบุว่าเป็นออกแบบอาคารจอดรถใต้ดินซึ่งย้อนแย้ง เขาจึงตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีเจตนากลบเรื่องเก่า เพื่อใช้เรื่องใหม่เข้ามาแทน

2.งบปรับปรุง 'ศาลาแก้ว': งบ 123 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงศาลาแก้ว 2 หลัง ซึ่งข้อมูลจากรัฐสภาระบุว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้ในงานพระราชพิธี จากการตรวจสอบพบความผิดปกติ 3 ส่วน คือ ทางเดินเท้า ที่กำหนดให้ใช้หิน 60x60 ซม. แต่ใช้จริงขนาด 40x40 ซม. ทางเดินเท้า ตามแบบต้องมีคานรองรับ แต่ก่อสร้างจริงทางเท้ากับคานรองรับกลับไม่มีการเชื่อมติดกัน และบริเวณรอบศาลาแก้วซึ่งมีสระน้ำ พบกระเบื้องใต้สระน้ำหลุดล่อนจนยกตัวโผล่เหนือน้ำ จุดนี้เองที่ทำให้น้ำซึมไปยังชั้น B1 เขามองว่าการปรับปรุงศาลาแก้วด้วยการติดแอร์ อาจเป็นการ เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางแห่งหรือไม่

3.งบปรับปรุงพื้นที่สระมรกต: งบประมาณสำหรับปรับปรุงพื้นที่บริเวณสระมรกต ซึ่งเดิมมีเจตนาให้ใช้ความชื้นจากน้ำช่วยประหยัดไฟ ไม่ต้องติดแอร์ เหตุผลที่อ้างในการปรับปรุงคือปัญหายุงลายและความปลอดภัยในการคัดกรองบุคคลขึ้นห้องสมุดชั้น 8-9 แต่วิลาศมองว่ามาตรการตรวจบุคคลเข้าออกรัฐสภาควรเพียงพออยู่แล้ว สิ่งที่เป็นข้อพิรุธคือบริเวณดังกล่าวมีการปูพื้นด้วยไม้ตะเคียนทอง แบบระบุขนาดไม้ต้องยาวไม่น้อยกว่า 3 เมตร และร่องห่างไม่เกิน 2 มม. แต่เมื่อนำผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบกลับพบว่า มีไม้ปลอมรวมอยู่ด้วย และความยาวไม้ผิดแบบ เขาจึงสงสัยว่าการใช้งบจำนวนนี้อาจเป็นการ ปกปิดเรื่องเก่า เพื่อไม่ให้ถูกตรวจสอบหรือไม่


วิลาศยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนตรวจรับงานวันที่ 4 ก.ย. 2566 กลับยังไม่มีการแก้ไข แต่มีการตรวจรับงานไปแล้ว ทั้งที่งานยังอยู่ในระยะเวลาค้ำประกัน 2 ปี ซึ่งตามสัญญาผู้รับจ้างต้องแก้ไขภายใน 15 วันและระยะเวลาแก้ไขต้องนำไปบวกกับเวลาค้ำประกัน

การเมืองในสภาฯ และการตรวจสอบงบประมาณ

ปมพิรุธและปัญหาสารพัดเหล่านี้ ทำให้รัฐสภากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ต้องจับตาการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 ที่จะเข้าสู่สภาฯ วาระแรกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ โดยเฉพาะบทบาทของ “ขั้วฝ่ายค้าน” ซึ่งมีธงชัดเจนที่จะรอจังหวะในชั้นกรรมาธิการเพื่อ “หั่นทิ้ง” งบในส่วนนี้ หวังขยี้แผลรัฐบาล โดยเฉพาะการเชื่อมโยงไปยัง พรรคสีน้ำเงิน ซึ่งถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับจุดเริ่มต้นการประกวดราคาก่อสร้างและการวางเสาเข็มในยุคที่ “พ่อครูใหญ่” เป็นประธานสภาฯ และยังโยงไปถึงธุรกิจครอบครัวผู้นำค่ายสีน้ำเงินที่คว้างานก่อสร้างรัฐสภาไปได้

ขณะที่ “ขั้วรัฐบาล” เองก็เผชิญการต่อรองวัดพลังภายใน ท้ายที่สุดแล้ว ประเด็นร้อนเรื่องงบประมาณนี้จะหาช่องทางเดินหน้าหรือหาทางลงได้อย่างไร ยังคงต้องติดตามต่อไป

โครงการอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ “สัปปายะสภาสถาน” เป็นมหากาพย์การก่อสร้างที่เต็มไปด้วยปัญหาและความท้าทาย ตลอดระยะเวลา 12 ปีตั้งแต่เริ่มลงเสาเข็ม จนถึงการตรวจรับงานเมื่อปีที่แล้ว อาคารแห่งนี้ใช้งบประมาณบานปลายไปเกือบเท่าตัวจากที่ตั้งไว้ ต้องเผชิญกับการขยายสัญญานับครั้งไม่ถ้วน และการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้รับเหมา แม้รัฐสภาจะชนะคดีมูลค่า 1.59 พันล้านบาท แต่ปัญหาความไม่สมบูรณ์ของอาคารยังคงอยู่ การที่รัฐสภาเตรียมขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมกว่า 2.7 พันล้านบาท สำหรับ 15 โครงการ โดยอ้างว่าเป็นงบต่อเติมในเฟส 2-3 ได้จุดประเด็นคำถามถึงความคุ้มค่าและความโปร่งใส โดยเฉพาะข้อสงสัยที่อดีตประธาน กมธ.ป.ป.ช. ตั้งขึ้นเกี่ยวกับความจำเป็นและข้อพิรุธในบางโครงการ ประเด็นเหล่านี้กำลังจะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างเข้มข้นในสภาฯ ในช่วงพิจารณางบประมาณปี 2569 ซึ่งจะเป็นบททดสอบการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติเอง และยังสะท้อนถึงการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองที่แฝงอยู่ในกระบวนการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน

อ้างอิง

กรุงเทพธุรกิจ1 /กรุงเทพธุรกิจ2 /

related