SHORT CUT
รุกฆาต สว.สีน้ำเงิน! ระดับหัวจ่าย 53 คนถูกหมายเรียก เชื่อโยงผู้เกี่ยวข้องมีทั้งรัฐมนตรี-ผู้บริหารพรรคการเมืองอีก รวม 150 คน ขณะสีแดงคล้ายจะเพลี้ยงพล้ำจากแผลชั้น 14 ?
การเมืองไทย วุ่นวายเหมือนตายวันแรก! เริ่มเดือนพฤษภาคม 2568 มาไม่นานมีหลายเรื่องราวมากมาย ทั้ง การเดินหน้าคดี #ฮั้วสว การตรวจสอบโครงการปรับปรุงซ่อมแซมรัฐสภา ไปถึงปมชั้น 14 ที่แพทยสภามีมติพักใบอนุญาตแพทย์ผู้ให้การรักษาอดีตนายกฯ กันเลยทีเดียว
คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ที่มี กกต.เป็นเจ้าภาพ ร่วมกับ DSI และ ปปง. ขยับใหญ่ครั้งแรกหลังสอบสวนกรณีความผิดปกติในการได้มาซึ่ง สว. ปี 2567 โดยได้ “ออกหมายเรียก” คนกลุ่มแรกที่มีหลักฐานชัด เป็นเส้นเงิน ประะวัติการโอนเงิน วันใด ที่ใด กับใคร จำนวนทั้งหมด 53 คน แจ้งข้อกล่าวหา “การใช้เงินในกระบวนการเลือก สว. หรือเพื่อให้ได้มาซึ่ง สว.” ซึ่งมีทั้งคนที่เป็น สว.ในปัจจุบัน และคนอื่นที่อาจเกี่ยวข้องด้วย
แต่เรื่องจะไม่จบแค่นี้! เพราะคณะกรรมการชุดนี้ มีหลักฐานอีกว่า จะมีคนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการ “ฮั้ว” อีก ไม่ต่ำกว่า 150 คน มีทั้ง สว. ผู้สมัคร สว. รัฐมนตรีในปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรี สส.ในระดับผู้บริหารพรรคการเมืองดัง รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย!!!
แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐมนตรีที่จะมีชื่อนั้น เป็นรัฐมนตรีมาหลายสมัย ปัจจุบันก็ยังดำรงตำแหน่งอยู่ เป็นหนึ่งในนายทุนคนสำคัญของหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล มีอดีตรัฐมนตรีที่มีคดีอื้อฉาวจนศาลสั่งให้พ้นจากตำแหน่งมาแล้ว และผู้บริหารพรรคการเมืองดังที่เป็น สส. ขวัญใจโซเชี่ยล อีกด้วย
สว. หรือผู้ได้รับหมายเรียกในครั้งนี้ “ยังไม่มีความผิด” เป็นเพียง “ผู้ถูกกล่าวหา” เท่านั้น โดยให้เข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อรับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหาทั้งหมด ภายในเวลาที่กำหนด อาจจะ 7 วัน หรือ 15 วัน และสามารถขยายระยะเวลาได้
ในวันนี้ เจ้าหน้าที่ กกต. นำส่งหมายเรียกเองกับผู้มีภูมิลำเนาใน กทม. รวม 6 ราย ส่วนอีก 47 รายที่เหลือ กกต.ประจำจังหวัดหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะรับหน้าที่นำส่งหมายเรียกถึงเจ้าตัว หรือไปส่งให้ยังที่พักอาศัย
และที่สำคัญ คณะกรรมการชุดนี้ “มีความชอบธรรม” ในการออกหมายเรียก เป็นการทำงานร่วมกันของ กกต. ดีเอสไอ และ ปปง. มีสถานะเป็น “เจ้าพนักงาน” ตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว. โดยมี กกต.เป็นเจ้าภาพ
การแจ้งข้อกล่าวหาเป็นหนังสือที่ออกโดย กกต. จะดำเนินการไปจนครบ 150 คน คาดว่าไม่เกินต้นสัปดาห์หน้า
ส่วนคดีฟอกเงินฝั่ง DSI จะทยอยออกหมายเรียก สว. และผู้เกี่ยวข้อง เข้ารับทราบข้อกล่าวหา คาดว่าไม่เกินสิ้นเดือนพฤษภาคม เพราะถือว่ากระบวนการเลือก สว. เชื่อได้ว่าเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงมีมูลความผิดฐานฟอกเงิน
แหล่งข่าวระดับสูงจากดีเอสไอ เผยกับ “เนชั่นทีวี” ว่า การแจ้งข้อหาฟอกเงิน อาจพ่วงข้อหา “อั้งยี่” เข้าไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากพฤติการณ์ของการกระทำความผิด มีลักษณะเป็น “คณะบุคคลที่มีการตระเตรียมการเพื่อกระทำผิดกฎหมาย”
ขณะเดียวกัน ฝั่งพรรคสีแดง ก็ถูกเขย่าเสถียรภาพหลังแพทยสภามีมติพักใบประกอบวิชาชีพ 2 แพทย์ที่ดูแลคนไข้ชั้น 14 เรื่องอาจถูกขยาย สาวถึงนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่?
รวมถึงอดีตคนไข้ท่านนั้นก็ถูกศาลฯ ปฏิเสธไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศใน 2 ครั้งหลังสุด คือขอไปประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซียเมื่อต้นเดือน มี.ค. 68 และเดินทางไปการ์ตาเมื่อเดือน พ.ค. 68 ทั้งที่เคยได้รับอนุญาตให้ไปมาเลเซียและบรูไนในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียนเมื่อเดือน ม.ค. 68 และ ก.พ. 68 ตามลำดับ
มิหนำซ้ำ ยังมีการเปิดแผล “ซ่อมรัฐสภา” อภิมหาโครงการที่น่าฉงนมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทยอีกในช่วงนี้ ซึ่งบริษัทรับเหมาก่อสร้างมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองอีกฝั่งเช่นกัน
จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ผู้มีอำนาจ กำลังต่อรองอะไรกันอยู่หรือไม่? หรือทุกอย่างแค่ “บังเอิญ” มาเกิดอย่างสอดรับในช่วงใกล้กันเฉยๆ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าปล่อยให้ความวุ่นวายทางการเมืองแบบนี้ ทำให้ประชาชน “รู้สึก” เบื่อหน่าย-หมดศรัทธา จนร้องหาอำนาจนอกระบบ พาประเทศไทยเข้าวังวนเดิม ทำลายความหวังคนรุ่นลูกรุ่นหลานไปมากกว่านี้
เพราะในขณะที่ทั่วโลกกำลังเอาตัวรอดจากนโยบายเศรษฐกิจชาติมหาอำนาจที่เปลี่ยนแปลงไป และความท้าทายใหม่ในห่วงโซ่อุปทาน ผู้มีอำนาจในไทยใช้เวลาไปกับเรื่องอำนาจหรือเรื่องเอาชีวิตรอดมากกว่ากัน?