svasdssvasds

เซีย จำปาทอง ชำแหละงบ 69 Safety ห่วย กองทุนแรงงานไร้เงิน

เซีย จำปาทอง ชำแหละงบ 69  Safety ห่วย กองทุนแรงงานไร้เงิน

ค่าแรงต่ำ-ของแพง-หนี้ท่วม! เซีย จำปาทอง ชำแหละงบ 69 ไม่แก้ปัญหาแรงงาน ซัดงบ Safety ห่วย กองทุนไร้เงิน รัฐค้างประกันสังคม ชีวิต 40 ล้านคนยังลำบาก

SHORT CUT

  • ค่าครองชีพสูงแต่ค่าจ้างต่ำและปรับขึ้นช้ามาก ทำให้แรงงานเป็นหนี้สินจำนวนมาก นายเซียชี้ว่าราคาสินค้าแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ค่าจ้างขั้นต่ำปรับขึ้นช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน
  • งบประมาณด้านความปลอดภัยในการทำงานไม่ตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง แม้จะมีอุบัติเหตุจากการทำงานเพิ่มขึ้นทุกปี แต่งบ Safety Thailand ปี 2569 ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่กลับนำไปสร้างตึกและซื้อรถยนต์ มากกว่างบดำเนินการเพื่อลดอุบัติเหตุ
  • กองทุนช่วยเหลือแรงงานและประกันสังคมมีปัญหาขาดแคลนงบประมาณ/รัฐค้างจ่าย กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีเงินไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือลูกจ้างที่ถูกนายจ้างลอยแพซึ่งไม่ได้รับเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานกว่า 2,800 ล้านบาท

ค่าแรงต่ำ-ของแพง-หนี้ท่วม! เซีย จำปาทอง ชำแหละงบ 69 ไม่แก้ปัญหาแรงงาน ซัดงบ Safety ห่วย กองทุนไร้เงิน รัฐค้างประกันสังคม ชีวิต 40 ล้านคนยังลำบาก

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 นายเซีย จำปาทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในสัดส่วนเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน ได้ร่วมอภิปรายถึงงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งมีจำนวนกว่า 40 ล้านคนทั่วประเทศ โดยนายเซียได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการจัดงบประมาณในลักษณะปัจจุบัน และเสนอแนวทางการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกว่า

นายเซียกล่าวว่า ชีวิตของพี่น้องแรงงานในปัจจุบันอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า “ค่าครองชีพแสนแพง ค่าแรงแสนต่ำ ทำงานก็กลัวอุบัติเหตุ จัดงบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้น่าสังเวช การพัฒนาฝีมือแรงงานก็แบบเดิมๆ เพิ่มสวัสดิการก็ไม่เคยเป็นจริง” โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของราคาข้าวของเครื่องใช้เมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว เช่น น้ำมันพืชที่แพงขึ้น 15 บาทต่อขวด เนื้อหมูแพงขึ้น 20 บาทต่อกิโลกรัม และก๊าซหุงต้มแพงขึ้น 59 บาทต่อถัง สรุปได้ว่าของแพงขึ้นทุกอย่าง ทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมซื้อของได้น้อยลง

ขณะที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่ปรับขึ้นช้ายิ่งกว่า "เต่าย่อง" คือ "ค่าจ้างขั้นต่ำ" โดยในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ค่าจ้างปรับสูงสุดเพียง 400 บาทใน 4 จังหวัดและ 1 อำเภอเท่านั้น ส่วนพื้นที่อื่นปรับไม่ถึง โดยค่าจ้างขั้นต่ำสุดอยู่ที่ 337 บาท แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจะเคยพูดว่าจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 8 ครั้ง แต่ก็ “ได้แค่พูด” นายเซียระบุว่า ค่าครองชีพปรับสูงขึ้นทุกวัน แต่กระทรวงแรงงานไม่สามารถผลักดันให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างได้ กระทรวงฯ ยังของบประมาณเกี่ยวกับการปรับค่าจ้างเพิ่มอีก โดยปี 2568 ของบจัดทำแผนพัฒนาระบบค่าจ้างระยะ 3 ปี 4 ล้านบาท แต่ “ไม่มีผลงาน” และในปี 2569 ของบอีก 6 ล้านบาท สำหรับโครงการจัดทำแนวทางการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำรายอุตสาหกรรม นายเซียตั้งคำถามว่า ตกลงแล้วกระทรวงแรงงานจะเอายังไงแน่ และจะปรับค่าจ้างเป็น 600 บาทในปี 2570 ได้อย่างไร

นายเซียเน้นย้ำว่า ทุกวันนี้ประชาชนมีรายได้ไม่พอรายจ่าย ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ทำให้เป็นหนี้กันถ้วนหน้า เนื่องจาก “รายได้โตไม่ทันรายจ่าย” จึงต้องไปกู้หนี้ยืมสินไม่รู้จบ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนี้ครัวเรือนไทยติดอันดับโลก ไม่ใช่เพราะแรงงานฟุ่มเฟือย แต่เพราะค่าจ้างไม่พอกินจริงๆ นายเซียเรียกร้องให้รัฐบาลจริงจังและจริงใจในการแก้ปัญหาทั้งเรื่องเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย มิฉะนั้นแรงงานไทยต้องเป็นหนี้ไปจนวันตาย

ประเด็นถัดมาคือเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน แม้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะมีวิสัยทัศน์ให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัยในการทำงาน แต่ตัวชี้วัดที่กำหนดกลับชวนให้สงสัย ตัวชี้วัดปี 2569 กำหนดให้มีแรงงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายมีสวัสดิการเหมาะสม 2.5 ล้านคน ซึ่งนายเซียตั้งคำถามว่า รัฐบาลจะดูแลคุ้มครองแรงงานเพียง 2 ล้านกว่าคนเท่านั้นหรือ ในเมื่อแรงงานในประเทศมีมากกว่า 40 ล้านคน ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพคืออัตราการประสบอันตรายจากการทำงานต้องลดลง โดยตั้งเป้าลดปีละ 4% แต่นายเซียชี้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นแทบทุกวัน เช่น เครนถล่ม คานถล่ม หรือตึกถล่ม และมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ข้อมูลจากกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม แสดงให้เห็นว่าผู้ประสบอุบัติเหตุและเจ็บป่วยจากการทำงานเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2565 มี 76,000 กว่าคน ปี 2566 เพิ่มเป็น 81,000 คน และปี 2567 เพิ่มเป็น 87,000 คน รวมสามปีมีผู้บาดเจ็บกว่า 250,000 คน เฉพาะที่แจ้งกองทุนฯ ยังไม่รวมผู้ที่ไม่ทราบว่าเจ็บป่วยจากการทำงานและลูกจ้างที่นายจ้างไม่แจ้ง ซึ่งข้อมูลนี้สวนทางกับตัวชี้วัดที่ว่าอุบัติเหตุลดลงอย่างชัดเจน

นายเซียวิจารณ์ว่างบประมาณโครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) ปี 2569 ที่เพิ่มขึ้นจาก 49 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท แม้ดูเหมือนให้ความสำคัญ แต่ งบดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง 9 ล้านบาท เป็น 31 ล้านบาท ส่วนที่เหลือกว่า 50 ล้านบาทเป็นงบสร้างตึกสร้างอาคารสำนักงาน และยังมีงบซื้อลิฟต์ 3 ตัว และรถ 5 คัน นายเซียตั้งคำถามว่าการสร้างตึกจะช่วยลดอุบัติเหตุได้อย่างไร และระบุว่ารัฐบาลปล่อยปละละเลยให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับ "ชีวิตคนทำงาน" ทำให้พวกเขาต้องทำงานด้วยความหวาดผวา
นอกจากนี้ นายเซียยังกล่าวถึงปัญหานายจ้างปิดกิจการลอยแพลูกจ้างจำนวนมาก โดยที่รัฐบาลไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายให้นายจ้างนำเงินมาจ่ายให้ลูกจ้างได้จริงจัง ข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานตั้งแต่ปี 2562-2567 มีลูกจ้างไม่ได้รับเงินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานกว่า 43,000 คน คิดเป็นเงินกว่า 2,800 ล้านบาท รัฐบาลปล่อยให้แรงงานที่ตกงานต้องเผชิญความยากลำบาก แม้แรงงานจะเสนอให้นำเงินรัฐมาจ่ายให้ลูกจ้างก่อนแล้วไปติดตามจากนายจ้าง หรือนำเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมาจ่ายให้ 100% แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ โดยอ้างว่าไม่มีเงิน นายเซียชี้ว่ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างก่อตั้งตั้งแต่ปี 2543 รัฐบาลอุดหนุนเพียง 4 ครั้ง รวม 400 ล้านบาท อุดหนุนครั้งสุดท้ายปี 2553 ข้อมูลปี 2567 เงินกองทุนเหลือประมาณ 100 ล้านบาท และปี 2569 รัฐบาลจัดงบมาให้เพียง 100 ล้านบาท นายเซียระบุว่า งบ 100 ล้านบาทนี้ไม่เพียงพอเลยเมื่อเทียบกับเงินที่ลูกจ้างไม่ได้รับกว่า 2,800 ล้านบาท ปัจจุบันยังมีลูกจ้างหลายบริษัทรอรัฐบาลอนุมัติเงินช่วยเหลืออยู่ และมีการเดินทางไปร้องเรียนที่กระทรวงแรงงานจำนวนมาก

เรื่องการพัฒนาฝีมือแรงงาน นายเซียกล่าวว่า แม้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะได้งบเกือบ 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 500 ล้านบาท แต่สุดท้ายก็ “ไม่ไปไหน” โครงการต่างๆ เป็นแบบเดิมๆ ที่ทำมาหลายปี เช่น การอบรมอาชีพแบบเบี้ยหัวแตก อบรมเสร็จก็แจกของ การจัดงบแจกของแบบนี้สุ่มเสี่ยงต่อการทุจริต แต่กลับละเลยการพัฒนาฝีมือแรงงานให้ตรงความต้องการตลาดแรงงานปัจจุบัน โดยยกตัวอย่างอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ถูกสินค้าต่างชาติตีตลาด แทนที่จะส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ใช้นวัตกรรม เช่น สิ่งทอทางการแพทย์ หรือชุดดับเพลิง ส่วนงบที่เพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่งกว่า 160 ล้านบาท ก็ไม่ได้นำไปใช้พัฒนาฝีมือแรงงานจริง แต่หน่วยงานนำไปซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์กว่า 83 ล้านบาท และตั้งโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการด้วยปัญญาประดิษฐ์อีกกว่า 74 ล้านบาท นายเซียตั้งคำถามว่า นำงบที่เพิ่มขึ้นหลักร้อยล้านไปซื้อคอมพิวเตอร์ ทำให้เสียโอกาสพัฒนาฝีมือแรงงานไปเท่าไร และระบบที่ได้พี่น้องแรงงานจะได้ประโยชน์ หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร

ประเด็นสุดท้ายคือการเพิ่มสวัสดิการของรัฐที่ไม่เคยเป็นจริง นายเซียชี้ว่างบประกันสังคมที่รัฐบาลค้างจ่ายเงินสมทบมากกว่า 60,000 ล้านบาท หากรัฐบาลจ่ายหนี้ส่วนนี้ สำนักงานประกันสังคมสามารถจัดสวัสดิการให้ผู้ประกันตนได้มากกว่านี้แน่นอน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาส่วนราชการไม่ยอมทำตามกฎหมายในการจ้างงานผู้พิการตามสัดส่วน 1 ต่อ 100 โดยปี 2567 หน่วยงานรัฐจ้างเพียง 3,600 คน ทั้งที่ต้องจ้างอย่างน้อย 18,000 ตำแหน่ง แม้แต่สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานที่มีผู้ปฏิบัติงานกว่า 900 คน ก็ยังจ้างผู้พิการไม่ได้ตามเกณฑ์ 9 คน งบประมาณโครงการส่งเสริมคนพิการทำงานในหน่วยงานภาครัฐปีนี้มีเพียง 360,000 บาท เท่ากับจ้างได้แค่ 2 คน ซึ่งนายเซียมองว่าเป็นการดูถูก ส่วนงบประมาณเกี่ยวกับสวัสดิการแรงงานอื่นๆ เช่น โครงการเตรียมพร้อมเกษียณ หรือโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานหญิง นายเซียมองว่าเป็นการจัดงบอบรม ให้แรงงานไปนั่งฟังการเทศนาเรื่องการออม การใช้จ่ายประหยัด การรักษาสุขภาพ ซึ่งช่วยได้น้อยมากในสถานการณ์ที่เงินยังไม่พอใช้

นายเซียสรุปว่า รัฐบาลจัดงบประมาณแบบ "ไม่มีน้ำยา" เช่น ค่าแรงก็ไม่ขึ้น ดูแลความปลอดภัยก็ไปสร้างตึก กองทุนสงเคราะห์ก็ไม่ใส่เงิน พัฒนาฝีมือแรงงานก็เอางบไปซื้อคอม ประกันสังคมก็ไม่ใช้หนี้ ในเมื่องบประมาณแผ่นดินมีจำกัด ผู้นำต้องรู้ว่าอะไรจำเป็นเร่งด่วน นายเซียเรียกร้องให้รัฐบาลจริงจังกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้แรงงานหลุดพ้นจากหนี้สิน ควบคู่กับมาตรการดูแล SME บังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยอย่างเข้มข้น ตรวจสอบสถานประกอบการ เพื่อไม่ให้มีใครบาดเจ็บล้มตายจากการทำงานอีก พัฒนาฝีมือแรงงานให้ตรงกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและความต้องการของโลก เพิ่มงบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพื่อดูแลผู้ที่ถูกนายจ้างลอยแพ ตัดงบโครงการสวัสดิการแบบเดิมๆ ที่ไม่จำเป็น และเพิ่มงบจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคมเพื่อจัดสวัสดิการดูแลผู้ประกันตน และสุดท้ายคือ จัดสรรงบประมาณเพื่อจัดระบบ "รัฐสวัสดิการ" ให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ด้วยเหตุผลที่รัฐบาลไม่สามารถจัดสรรงบได้อย่างเหมาะสม นายเซียจึงขอยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของรัฐบาล