SHORT CUT
ชายแดนไทยกัมพูชาตึงเครียด หลังกัมพูชาปฏิเสธลดกำลังและเพิ่มทหาร ไทยคุมเข้มด่านเพื่อความปลอดภัย พร้อมใช้กลไก JBC 14 มิ.ย. หาทางออกสันติ
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2568 ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย พ.อ.หญิง ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ร่วมกันแถลงข่าวถึงสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ล่าสุด
นายนิกรเดช กล่าวว่า ตามที่เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารของทั้งสองฝ่ายเมื่อ 28 พ.ค.2568 บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเอง และปกป้องอธิปไตยของประเทศ หลังเหตุการณ์ดังกล่าวฝ่ายไทยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นและมุ่งแก้ไขสถานการณ์ด้วยสันติวิธี
โดยเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาพยายามลดความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดความขัดแย้งให้อยู่เพียงจุดเกิดเหตุ พร้อมทั้งได้มีการหารือในทุกระดับทั้งระดับนายกฯ รมว.การต่างประเทศ รมว.กลาโหม และกองทัพบกของสองประเทศ บนพื้นฐานของความสุจริตใจ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี โดยผ่านกลไกทวิภาคีที่มีมาโดยตลอด ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2568 รองนายกฯ และรมว.กลาโหมของทั้งสองประเทศได้หารือกันที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อหาทางออกร่วมกัน
โดยฝ่ายไทยได้ย้ำอีกครั้งถึงความจำเป็นในการลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน และเสนอให้ปรับกำลังทหารตามแนวทางปฏิบัติเดิมก่อนเกิดเหตุขัดแย้ง เพื่อลดโอกาสการปะทะทางทหาร ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่ทางฝ่ายกัมพูชา ได้ปฏิเสธทันทีต่อข้อเสนอในการปรับกำลัง และยังเสริมกำลังทหารในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง และปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม MOU 2543 บนพื้นฐานของการเจรจาแบบสันติวิธี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดและทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น
การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการขาดเจตนารมณ์และความจริงใจที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลดและระงับความตึงเครียดที่มีอยู่เดิมและทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ
ดังนั้นเป็นไปตามมติ สมช. 6 มิ.ย.2568 และเพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนไทยตามแนวชายแดน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา และมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรี และตราด
โดยให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้กำหนดมาตรการ หลักเกณฑ์ วิธี และเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาที่จำเป็นและเหมาะสมในการผ่านแดน บริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งความเข้มข้นจะเป็นไปตามความตึงเครียดของสถานการณ์
ทั้งนี้ขอย้ำว่าการดำเนินการของไทยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาความปลอดภัยของทั้งประชาชนไทยและกัมพูชา ในพื้นที่ชายแดน และความสงบเรียบร้อยตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยจะคำนึงไม่ให้มาตรการดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมทั้งด้านมนุษยธรรมด้วย
"ฝ่ายไทยขอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่ง ให้ฝ่ายกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดตลอดแนวชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะส่งผลต่อประชาชนตามแนวชายแดน ฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมที่จะใช้กลไกทวิภาคี โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน หรือ JBC ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ รวมทั้งกลไกทวิภาคีอื่น ๆ ที่มีอยู่ เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ บนพื้นฐานของความเคารพ และความจริงใจต่อกัน เพื่อให้ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับไปสู่ความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ" นายนิกรเดช กล่าว
ด้าน พ.อ.หญิง ดังใจ กล่าวว่า ที่ผ่านมา รมว.กลาโหม ไม่ได้ละเลย แต่ได้อดทนและพยายามใช้การเจรจาอย่างสันติวิธี พร้อมยังกำชับหน่วยงานในพื้นที่ให้เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการรุกล้ำเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในกระบวนการความพยายามที่ผ่านมากลับได้รับการตอบสนองที่ไม่เป็นทางบวก จึงปรับมาตรการต่าง ๆ ล่าสุดทางสมช.ได้มีมติมอบหมายให้ทางกองทัพบก รับผิดชอบในการนำแผนไปปฏิบัติต่อ
ขณะที่ พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กองทัพบก ได้กำหนดอำนาจให้ผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่กองกำลังสุรนารี และกองกำลังบูรพา มีอำนาจในการควบคุม การเปิดปิดจุดผ่านแดน โดยมีขั้นตอนการดำเนินการยังนึกถึงผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และกิจกรรมบริเวณพื้นที่ชายแดน ซึ่งมี 4 ขั้นตอน และแต่ละจุดจะไม่เหมือนกัน เริ่มจากการจำกัดเรื่องของคน อาจจะเป็นผู้ที่ไม่มีความจำเป็นจริง เช่น กลุ่มคนที่ไปเล่นการพนัน หรือคนที่ไปสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งหน่วยในพื้นที่จะคัดกรอง
"ผบ.ทบ.แสดงความห่วงใย โดยเฉพาะคนที่ต้องการเข้ามารับการศึกษา หรือคนที่ต้องเข้าออกเพื่อรักษาพยาบาล เช่น คนสูงอายุ ซึ่งได้เน้นย้ำไปที่หน่วยในระดับพื้นที่ ส่วนขั้นที่สองจะควบคุมเวลา กำหนดช่วงเวลา อาจจะไม่เปิดตลอด ตามความจำเป็นจริง ๆ โดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตในพื้นที่ ส่วนมาตรการสุดท้ายคือปิดทุกจุดตลอดพรมแดน ถึงแม้กองทัพบก จะมีคำสั่งแล้ว แต่ก็ต้องประสานทุกหน่วยทุกระดับเหมือนเดิม" พล.ต.วินธัย กล่าว
อ้างอิง