SHORT CUT
ไอโอ ยุทธการข้อมูลข่าวสาร 'รัฐซ้อนรัฐ' ที่ไม่เคยหลับใหล - สนทนากับ ชยพล สท้อนดี จาก ไอโอ 101 ถึงการปรับตัวของไอโอในยุครัฐบาลพลเรือน
Information Operation (IO) หรือ "ยุทธการทางข้อมูลข่าวสาร" คือกลยุทธ์การต่อสู้ในโลกยุคใหม่ที่ใช้ข้อมูลเป็นอาวุธ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและช่วงชิงความได้เปรียบให้มาอยู่ฝ่ายตนเอง ในทางกลับกัน ก็สามารถใช้เพื่อปลุกปั่น ยุยง และชี้นำสังคมให้เป็นไปตามทิศทางที่ต้องการได้เช่นกัน
IO เป็นปฏิบัติการที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคสมัย จากโลกของสิ่งพิมพ์สู่สมรภูมิออนไลน์ที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็ว และปฏิบัติการลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ
SPRiNG ได้มีโอกาสสนทนากับ ชยพล สท้อนดี สส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ผู้ที่นำประเด็น IO มาอภิปรายในสภาฯ จนกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อทำความเข้าใจว่า IO นั้นใกล้ตัวกว่าที่เราคิด และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักรู้
สส. ชยพล เริ่มต้นบทสนทนาว่า "IO เกิดขึ้นตลอดเวลา อยู่ที่ว่าความเข้มข้นจะมากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะการพยายามควบคุมความหมายของคำว่า ‘รักชาติ’ ให้เป็นไปตามทิศทางที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะในยามสงบหรือยามมีภัยพิบัติและสงคราม"
เมื่อถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด ที่มีการติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด สส. ชยพล มองว่าเป็นความพยายามของกองทัพในการดึงความสนใจของประชาชน เพื่อให้สังคมหันมามองว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่
ปฏิบัติการเช่นนี้ถูกใช้เพื่อตอบคำถามว่า ‘ทหารมีไว้ทำไม’ หรือไม่?
สส. ชยพล อธิบายว่า กองทัพมักนำภารกิจที่น่าชื่นชมและการเสียสละของทหารมาเป็นคำตอบ แต่ประเด็นของคำถามนี้ไม่ได้อยู่ที่การทำหน้าที่ของทหารหาญทั่วไป แต่อยู่ที่ภาพใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือน ‘ช้างที่อยู่ในห้อง’ ที่ถูกซ่อนไว้ "กระบวนการ IO พยายามนำภาพเล็กๆ เหล่านี้ มาบดบังภาพใหญ่ของปัญหาที่แท้จริงในกองทัพ"
สส. ชยพล ชี้ว่า IO ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีรากฐานในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม หรือพฤษภาทมิฬ ล้วนมีการปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจแบบใดแบบหนึ่งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรง
"นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนต้องการเป็นคนดี และต้องการให้คนอื่นสนับสนุนการกระทำของตนเอง ในสมัยนั้น สื่อที่ใช้คือหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวิทยุ ซึ่งมีหลักฐานชี้ให้เห็นว่าถูกควบคุมโดยกองทัพ เพื่อปล่อยข้อมูลที่สนับสนุนฝ่ายตนเอง"
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน การไหลเวียนของข้อมูลเปลี่ยนไป IO ก็พัฒนาตามไปด้วย โดยใช้ทฤษฎีที่เรียกว่า Information-Related Capabilities (IRC) ซึ่งมองข้อมูลใน 3 มิติที่เชื่อมโยงกัน คือ:
"ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 มีปฏิบัติการที่ชัดเจน เช่น การปั่นกระแสสร้างความเกลียดชังต่อพรรคการเมืองและบุคคลเป้าหมายอย่างคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือคุณพรรณิการ์ วานิช โดยมีการกำหนดรูปแบบการโจมตีที่ชัดเจน แล้วป้อนข้อมูลเหล่านี้เข้าสู่อินเทอร์เน็ต จากนั้นก็แพร่กระจายไปสู่โลกความเป็นจริงผ่านกลุ่มไลน์ การส่งต่อ หรือแม้กระทั่งการกระซิบ เพื่อสร้างความเกลียดชังตามที่คาดหวัง"
“แม้ปัจจุบันเราจะไม่ได้มีรัฐบาลทหาร แต่ปฏิบัติการ IO ยังคงดำเนินต่อไป”
"หลังรัฐประหาร ปฏิบัติการ IO ไม่สามารถทำอย่างโฉ่งฉ่างได้ แต่โชคดีของกองทัพที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลพลเรือน กลับไม่มีอำนาจที่แท้จริงในการบริหารจัดการหรือเข้าถึงข้อมูลภายใน ทำให้ IO ยังคงดำเนินต่อไปได้ตามอำเภอใจ"
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนภาพของสิ่งที่เรียกว่า ‘รัฐพันลึก’ หรือ ‘รัฐซ้อนรัฐ’ (State within a State) ซึ่งพยายามควบคุมการตัดสินใจของประชาชนและรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง หากพวกเขาไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็จะหาวิธีควบคุมรัฐบาลผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดีลลับ การใช้คดีความ หรือแม้กระทั่งการใส่ชื่อบุคคลในรายงานภัยความมั่นคง
สส. ชยพล ย้ำว่า "การปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสนับสนุน แต่เราต้องตระหนักว่า การสนับสนุนนั้นต้องไม่นำไปสู่ความเกลียดชังที่เกินขอบเขต การสร้างภาพให้ใครคนหนึ่งเลวร้ายเกินจริงนั้นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันจะนำไปสู่ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุ"
"การที่เราต้องปะทะกันบริเวณชายแดนเพื่อปกป้องประเทศเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่หากระหว่างทางมีการปลุกกระแสความเกลียดชังมากเกินไป มันจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เราต้องไม่ลืมว่าทหารที่ปฏิบัติงานแนวหน้า ก็คือ ‘เหยื่อ’ ของความล้มเหลวในการเจรจา พวกเขาต้องเผชิญกับสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่และอาจสูญเสียร่างกาย เรากลับลืมไปว่าเขาคือเหยื่อของสถานการณ์เช่นกัน"
"ต้นตอของปัญหาคือมรดกที่คณะรัฐประหารทิ้งไว้ ผ่านการวางโครงสร้างให้ทหารมีอำนาจพิเศษและปราศจากการควบคุมโดยพลเรือน" สส. ชยพล กล่าว
"ทางแก้คือการแก้รัฐธรรมนูญ และแก้ไข พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ถ้าแก้สองสิ่งนี้ได้ โครงสร้างและหน้าที่ของกองทัพจะเปลี่ยนไป พวกเขาจะไม่สามารถทำในสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ได้เลย แต่รัฐบาลชุดนี้กลับไม่ยอมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยอย่างจริงจัง"
สส. ชยพล ชี้ให้เห็นถึงความจริงที่น่าตกใจว่า "ทุกวันนี้ แม้แต่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ กอ.รมน. ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลลับด้านความมั่นคงของ กอ.รมน. ได้เลย นี่คือสภาวะรัฐซ้อนรัฐที่เกิดขึ้น เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายการเมือง และฝ่ายการเมืองเองก็ไม่มีเจตนาจะดึงอำนาจนั้นกลับมา"
สส. ชยพล ทิ้งท้ายด้วยภาพที่น่ากังวลว่าเป้าหมายสูงสุดของปฏิบัติการ IO คือการสร้างระบบสอดส่องประชาชนที่คล้ายกับ ‘Brother Eye’ ในการ์ตูนเรื่องแบทแมน
"กองทัพและ กอ.รมน. ต้องการสร้าง Data Center ของตนเอง ในภาคใต้เริ่มมีการทดลองเก็บ DNA มีความพยายามรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อสอดส่องพฤติกรรมของประชาชน ว่าชอบเสพสื่อแบบไหน มีปฏิสัมพันธ์กับใคร มีความเห็นทางการเมืองอย่างไร เพื่อที่จะหาช่องโหว่ในการโจมตี จัดการกับผู้เห็นต่าง และ ‘ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม’"
ท้ายที่สุดแล้ว สส. ชยพล ยืนยันว่ากองทัพเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ทำหน้าที่เตรียมพร้อมรบเมื่อรัฐบาลสั่งการเท่านั้น หากกองทัพทำหน้าที่ของตนเองอย่างถูกต้อง คำถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ก็จะไม่เกิดขึ้น และปฏิบัติการ IO ก็จะหมดความจำเป็นลงไปเอง