SHORT CUT
ทางรอดรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำไม่ใช่เกมการเมือง แต่คือ วิสัยทัศน์ที่เห็นแก่ชาติ วินัยในสภา และผลงานที่จับต้องได้
ในภาวะที่การเมืองไทยเดินอยู่บนเส้นด้ายของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ทุกเสียงในสภามีความหมาย และทุกการเจรจาต่อรองล้วนถูกจับตามอง คำถามสำคัญคือ เส้นแบ่งระหว่าง "การประนีประนอมเพื่อรักษาเสถียรภาพ" กับ "การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จนเสียหลักการ" อยู่ตรงไหน?
SPRiNG ได้มีโอกาสสนทนากับ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานกรรมการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพะเยา สังกัดพรรคเพื่อไทย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และ เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้มีประสบการณ์ตรงกับสถานการณ์รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำในอดีต เพื่อวิเคราะห์ภาพการเมืองปัจจุบันที่เขาชี้ว่า "น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง" และประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตที่หนักหนาสาหัสกว่าที่หลายคนคิด
เมื่อถูกถามถึงการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาล เกียรติเริ่มต้นด้วยการวางหลักการพื้นฐานที่เขาเชื่อว่าการเมืองไทยต้องยึดถือ หากต้องการให้ประเทศอยู่รอด
"โลกที่เราอยากเห็น คือการให้ทุกคนคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากที่สุดก่อนได้ไหม... ประเทศต้องมาก่อนพรรค พรรคต้องมาก่อน สส. ถ้าเราไม่มีหลักนี้ ประเทศก็อยู่ไม่ได้"
เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในอดีต ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการมีทรัพยากรจำกัดแต่ต้องแก้ปัญหาใหญ่ แต่สิ่งที่แตกต่างและน่ากังวลกว่าในวันนี้ คือประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตในทุกมิติ
เกียรติได้ฉายภาพวิกฤตที่กำลังรุมล้อมประเทศอย่างน่าเป็นห่วง ซึ่งเขาชี้ว่ารุนแรงกว่าแค่ปัญหาเสียงปริ่มน้ำในสภา
วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์โลก ไม่ว่าจะเป็น สงครามยูเครน-รัสเซีย, ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง, ไปจนถึงสงครามการค้าที่กระทบกันทั้งโลก และปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดน
วิกฤตเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยที่โตต่ำเพียง 1.8% ในขณะที่เพื่อนบ้านเติบโต 4-6% คือสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนว่า "เราเคยเก่ง แต่วันนี้ไม่เก่งแล้ว แข่งไม่ได้แล้ว" ต้นทุนของประเทศสูงเกินไป โดยเฉพาะค่าพลังงานและค่าขนส่ง
เกียรติย้ำว่านี่คือปัญหาใหญ่หลวง โดยเฉพาะหลังกรณีนายกรัฐมนตรีถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ "ต้องไปดูนะฮะ ในเวทีระหว่างประเทศเขาพูดถึงประเทศไทยว่ายังไง... เขาวิจารณ์คุณสมบัติคนที่เป็นนายกแบบค่อนข้างเป็นลบมากที่สุดที่ผมเคยเห็นมา" สิ่งนี้กัดกร่อนความน่าเชื่อถือของผู้นำ, การเมือง, และภาคเศรษฐกิจของไทยในสายตาชาวโลก
การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดล่าสุดที่ยังคงเป็นลักษณะ "การแบ่งเค้ก" โดยไม่คำนึงถึงความสามารถ นำไปสู่การได้รัฐมนตรีที่ไม่มีความชำนาญในกระทรวงที่ตนเองดูแล ซึ่งเป็นอันตรายต่อการบริหารประเทศอย่างยิ่ง
"คำถามคือรัฐบาลที่มีอยู่มันตอบโจทย์ไหม เพราะไม่ใช่แค่เสียงปริ่มน้ำแล้วอยู่ให้รอด ประเทศอยู่รอดก่อนรัฐบาลได้ไหม? แต่นโยบายที่ผ่านมาไม่ตอบโจทย์ เป็นประชานิยมหวังผลทางการเมืองมากกว่าหวังผลประโยชน์ของประเทศ"
เกียรติวิจารณ์อย่างหนักแน่นที่สุด คือการที่รัฐบาลมักอ้าง "ข้อจำกัดด้านงบประมาณ" เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายสำคัญได้
"อันนี้ผมต้องเถียงนะ เถียงเสียงดังเลย! เพราะมันมีหลายนโยบาย หลายโครงการที่ทำได้โดยไม่ใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว แต่สร้างความเก่งให้ประเทศได้... ไม่เห็นเลยครับ โครงการประเทศนี้ไม่เห็นเลย น่าเสียดายโอกาสมาก"
เขาได้ยกตัวอย่างรูปธรรมที่สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ หรือใช้งบน้อยแต่ได้ผลมหาศาล
เช่น การลดต้นทุนพลังงาน โดยกฎหมายระบุชัดเจนว่าราคาต้องสะท้อน "ต้นทุนที่แท้จริงและเป็นธรรม" รัฐบาลในฐานะผู้กำกับสามารถดำเนินการได้ทันที ไม่ต้องรอแก้กฎหมาย
การปฏิรูประบบโลจิสติกส์ เปลี่ยนจากการขนส่งด้วยรถบรรทุกที่มีปัญหาส่วยและต้นทุนสูง มาสู่ "ระบบราง" ผ่านกลไกสัมปทานที่ไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน
การกำกับดูแลสถาบันการเงิน รัฐบาลกำกับดูแลธนาคารรัฐ 6 แห่ง สามารถสั่งการให้ลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่ปัจจุบันสูงถึง 7% (เทียบกับเพื่อนบ้าน 3-4%) เพื่อลดต้นทุนทางการเงินให้ประชาชนและภาคธุรกิจได้ทันที โดยไม่ต้องรอธนาคารแห่งประเทศไทย
การสร้างตลาดใหม่ ในสมัยที่เขาเป็นผู้แทนการค้าฯ สามารถสร้างมูลค่าการค้าในตลาดใหม่กว่า 150,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณเพียง 30 กว่าล้านบาทเป็นค่าเดินทางเท่านั้น
เกียรติแสดงความเบื่อหน่ายต่อ "ดราม่าทางการเมือง" ที่กลบปัญหาเชิงโครงสร้างที่กัดกินประเทศมานานนับทศวรรษ เขาชี้ว่าประเทศไทยเสียโอกาสมามากเกินไปแล้วกับความขัดแย้งทางการเมือง
"ผมไม่สนใจดราม่าทางการเมืองจริงๆ นะ เพราะประเทศนี้ไม่มีเวลาแล้ว เราเสียโอกาสมาเยอะกับดราม่าทางการเมืองกี่ปีแล้วครับ ตั้งแต่รัฐประหาร 49, 57 เราไม่ได้เอาโอกาสตรงนั้นมาทำในสิ่งที่ยามปกติทำยาก คือการปฏิรูปให้สำเร็จ"
เขาได้ยกตัวอย่างปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้อง "รื้อทั้งระบบ" แต่กลับไม่มีใครพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระที่ล้มเหลว เกียรติตั้งคำถามถึง กกต. ที่ปล่อยให้นโยบายค่าแรงขั้นต่ำซึ่งผิดกฎหมายถูกใช้หาเสียง และตั้งคำถามถึงความจำเป็นของ กกต.จังหวัด หรือ สตง.จังหวัด ที่สิ้นเปลืองงบประมาณและอาจนำไปสู่ปัญหาคอร์รัปชัน ดังที่เห็นจากกรณีตึกถล่ม
ค่านิยม "คอร์รัปชันนิดหน่อยไม่เป็นไร ใครๆ ก็ทำ" คือสิ่งที่ทำให้ประเทศไปต่อไม่ได้
หรือการใช้อินฟลูเอนเซอร์และโซเชียลมีเดียสร้างค่านิยมที่ผิดๆ โดยไม่มีการตรวจสอบ เป็นภัยเงียบที่อันตราย แต่รัฐบาลกลับไม่มีนโยบายรับมือ
ท้ายที่สุด เมื่อถามว่าความสำเร็จของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำควรวัดจากอะไร ระหว่าง "การอยู่ครบวาระ" กับ "ผลงานที่จับต้องได้" คุณเกียรติฟันธงโดยไม่ลังเล
"ไม่ต้องถามเลยครับ ในที่สุดมันเรื่องผลงานอยู่แล้ว อยู่ครบวาระแต่ทำงานไม่ได้เข้าท่า มันอยู่ทำไม? มันไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศ... ถ้าทำไม่ได้ ไม่สามารถตอบโจทย์วิกฤตเหล่านี้ได้ วิถีทางประชาธิปไตยก็มี คือ คุณก็ยุบสภาไปซะ ให้ประชาชนได้มีสิทธิ์เลือกใหม่"
เกียรติปิดท้ายด้วยการเรียกร้องสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด แต่กลับหาได้ยากในการเมืองปัจจุบัน นั่นคือการที่ผู้มีอำนาจ "ต้องทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ตัวเอง" และต้องเริ่มจากนโยบายที่ตอบโจทย์ประเทศ พร้อมกับเอาคนที่เหมาะสมมาทำงาน ไม่ใช่การจัดสรรตำแหน่งเพื่อประคองอำนาจไปวันๆ เพราะในวันที่ประเทศชาติกำลังเผชิญพายุรอบด้าน เวลาของละครการเมืองได้หมดลงแล้ว.
วิสุทธิ์ ชี้ให้เห็นว่า ทางรอดไม่ใช่เกมการเมือง แต่คือ "วินัยในสภา" เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามถึงความท้าทายของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ คุณวิสุทธิ์ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์เกมการเมืองที่ซับซ้อน แต่กลับชี้ไปที่ทางออกที่เรียบง่ายและเป็นรูปธรรมที่สุด นั่นคือ "วินัยและความรับผิดชอบ" ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
"เสียงปริ่มน้ำคือข้อเท็จจริง แต่ก็ยังชนะอยู่ ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ทุกคนมาอยู่ในสภาวันพุธ-พฤหัสฯ ทางรอดก็คือท่านรัฐมนตรีทั้งหลายที่ยังเป็นผู้แทนฯ ต้องหอบแฟ้มมาทำงานที่สภาเลย ถ้ายังไปทำงานอยู่ที่กระทรวงมันไม่ทันหรอก"
วิสุทธิ์ย้ำว่า การรักษาองค์ประชุมและการผ่านกฎหมายสำคัญในภาวะเช่นนี้ ไม่สามารถพึ่งพาเพียงการต่อรองทางการเมืองได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือและความเสียสละจาก สส. ทุกคน โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่ควบตำแหน่ง สส. ต้องย้ายที่ทำงานมาประจำที่รัฐสภาในวันประชุม เพื่อให้พร้อมโหวตตลอดเวลา
วิสุทธิ์ขยายความประเด็นเรื่องวินัยไปอีกขั้น โดยมองว่าการขาดประชุมสภาเพื่อไปร่วมงานสังคมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานบวช หรืองานศพ ถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ที่สำคัญที่สุด และเปรียบเสมือน "การทุจริตต่อเวลา" ของประชาชน
"ผู้แทนที่ดีวันพุธ-พฤหัสฯ ไม่ควรหนีสภา ชาวบ้านอาจไม่ทราบ แต่หน้าที่หลักของ สส. คือการตรากฎหมายเพื่อบังคับใช้กับคนทั้งประเทศ... ถ้าเห็น สส. อยู่ตามสนามบิน ร้านอาหาร หรือในห้างในวันประชุม ท่านอย่าไปเลือกคนอย่างนี้เข้ามาอีกเลย เพราะเขาโกงเวลาที่ต้องทำหน้าที่สำคัญที่สุด มันเหมือนทหารที่ต้องเฝ้าชายแดน แต่กลับบ้านไปงานศพเพื่อน มันไม่ได้!"
เขายังเรียกร้องให้ประชาชนและสื่อมวลชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเห็น สส. ละทิ้งการประชุม ก็สามารถ "ติติง" ได้ทันที เพื่อสร้างความละอายและทำให้ สส. ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่แบกรับอยู่
เมื่อถามถึงการประนีประนอมทางการเมือง วิสุทธิ์ยอมรับว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรัฐบาลผสมหลายพรรค ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับยุค "ไทยรักไทย" ที่เคยได้ 377 เสียงและสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว เขาชี้ว่าการเมืองปัจจุบันได้หวนคืนสู่ "ระบบโควต้า" ในการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งเป็นระบบที่เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
"รัฐบาล 10 กว่าพรรค กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง... มันกลับมาเหมือนสมัยโบราณอีกแล้ว โควต้า 7 คน 10 คน ซึ่งผมมองว่าประเทศชาติเสียหาย เพราะเราไม่ได้คนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงมาทำงาน"
วิสุทธิ์มองว่าระบบโควต้าที่เน้นการแบ่งปันอำนาจให้พรรคเล็กพรรคน้อย ซึ่งเป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อสกัดพรรคใหญ่ คือต้นตอที่ทำให้ประสิทธิภาพของรัฐบาลลดลง และเปิดช่องให้เกิดการต่อรองผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ
จากประเด็นระบบโควตา วิสุทธิ์ได้เชื่อมโยงไปถึงปัญหาคลาสสิกของการเมืองไทย นั่นคือ "การซื้อเสียง" และการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยเงิน ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากการที่พรรคการเมืองอ่อนแอและต้องพึ่งพานักการเมืองที่ใช้ทุนมหาศาล
"ใครที่ลงทุนเยอะๆ มันก็ต้องถอนทุนอยู่แล้ว... ถ้าคุณไปรับตังค์เขาแล้วเลือกเขา คุณก็เป็นลูกน้องเขา แต่ถ้าคุณเลือกผมโดยที่ผมไม่ใช้เงิน ผมติดหนี้บุญคุณเขา ผมมองประชาชนเป็นนาย ผมต้องทำงานแลกเพื่อให้เขาประทับใจ"
วิสุทธิ์เปิดเผยว่าตนเองเป็น "ผู้แทนต้นทุนต่ำ" ที่ไม่เคยใช้เงินซื้อเสียง และวิจารณ์อย่างรุนแรงถึงผู้สมัครที่ใช้เงินร้อยกว่าล้านบาทในการเลือกตั้งว่า "ทำไมไม่เอาเงินไปบริจาคให้โรงพยาบาล ได้บุญและได้ชื่อเสียงกว่าเยอะ"
เมื่อมองหาทางออกจากวงจรปัญหานี้ วิสุทธิ์ชี้ไปที่ 2 แนวทางหลัก คือ การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และ การตรวจสอบโดยภาคประชาชน
เขาสนับสนุนการกลับไปใช้แนวทางของรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่สร้างรัฐบาลเข้มแข็งและลดปัญหาพรรคเล็กพรรคน้อย
ในภาวะที่องค์กรอิสระอาจทำงานได้ล่าช้าหรือไม่ได้รับความเชื่อถือเท่าที่ควร คุณวิสุทธิ์เชื่อว่าพลังการตรวจสอบจากสื่อมวลชนและประชาชนคือกลไกที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน "วันนี้มันถึงเวลาต้องมาช่วยกันตรวจสอบ... ประเทศชาติไม่ใช่ของคณะใดคณะหนึ่ง"
สำหรับคำถามสุดท้ายที่ว่า ความสำเร็จของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำควรวัดจากอะไร วิสุทธิ์ให้คำตอบที่ชัดเจนว่า ไม่ใช่การอยู่รอดให้ครบวาระ แต่คือ "ผลงานที่จับต้องได้"
"ถ้าอยากกลับมาอย่างสง่างาม คุณต้องทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจดี อยู่ดีมีสุข ไม่ทุจริตคดโกง ประชาชนก็เลือกกลับมาอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเป็นรัฐมนตรีเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล คนจะยี้ทั้งประเทศ... ในสถานการณ์เสียงปริ่มน้ำอย่างนี้ ถ้าคุณยังไม่ทุ่มเทเต็มที่ คุณก็จะมีปัญหาแน่นอน"
บทสรุปจากวิสุทธิ์ คือสาส์นเตือนที่ส่งตรงถึงเพื่อนสมาชิก สส. และคณะรัฐมนตรีว่า ในภาวะที่เสถียรภาพเปราะบางเช่นนี้ ทางรอดเดียวไม่ใช่การเล่นเกมการเมืองที่ซับซ้อน แต่คือการกลับไปสู่พื้นฐานที่สุดของหน้าที่ นั่นคือการทำงานหนักอย่างมีวินัย ซื่อสัตย์ และเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะนั่นคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะทำให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างสง่างาม
ท่ามกลางสถานการณ์ประเทศที่ เกียรติ สิทธีอมร มองว่าประเทศไทยกำลังเผชิญ "วิกฤตซ้อนวิกฤต" ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความน่าเชื่อถือในเวทีโลก เขาชี้ว่าทางรอดไม่ใช่การเล่น "ละครการเมือง" หรือ "แบ่งเค้ก" แต่คือการที่รัฐบาลต้องมีวิสัยทัศน์ วาง "ประเทศชาติ" ไว้เหนือผลประโยชน์พรรค และกล้าใช้นโยบายที่สร้างสรรค์โดยไม่ใช้งบประมาณเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ
ในขณะเดียวกัน วิสุทธิ์ ไชยอรุณ ได้ชี้ให้เห็นปัญหาพื้นฐานที่ต้องแก้ก่อน นั่นคือ "วินัยในสภา" เขามองว่าต่อให้มีนโยบายดีแค่ไหน หาก สส. ยัง "โกงเวลา" ขาดประชุมจนสภาล่มซ้ำซาก รัฐบาลก็ไม่อาจขับเคลื่อนสิ่งใดได้เลย
มุมมองของทั้งสองสะท้อนความจริงอันน่าเจ็บปวดว่า ทางรอดของรัฐบาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเกมต่อรองที่ซับซ้อน แต่อยู่ที่การกลับไปสู่พื้นฐานที่สุด นั่นคือ "วิสัยทัศน์" ของผู้นำ และ "วินัย" ของผู้แทน หากขาดซึ่งสองสิ่งนี้ การอยู่รอดให้ครบวาระก็ไร้ความหมาย และอาจหมายถึงการล่มสลายของความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อระบอบการเมืองทั้งระบ