SHORT CUT
รวมความคิดเห็น นักวิชาการ-นักกฎหมาย ชำแหละ “นิรโทษกรรม” ต้องชัดเจนและโปร่งใส อย่าให้ใครใช้เป็นเครื่องมือปลดล็อกความผิดตัวเองย้อนหลัง
กฎหมายนิรโทษกรรม กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งในสังคมไทย เมื่อหลายฝ่ายมีความเห็นต่างกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านกฎหมาย การเมือง และศีลธรรม โดยเฉพาะเมื่อมีการเสนอร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการ ล้างผิด หรือปลดเปลื้องความผิดทางอาญา ให้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การเมืองในอดีต
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ทีมข่าวได้รวบรวมความเห็นจากนักวิชาการด้านกฎหมาย และนักกฎหมายอาวุโสที่มีบทบาทในสังคม เพื่อสะท้อนข้อดี ข้อเสีย และข้อควรระวังของกฎหมายนิรโทษกรรม
"นิรโทษกรรม" (Amnesty) หมายถึง การยกเว้นโทษความผิดให้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยทั่วไปเป็นการกระทำผ่านกฎหมายหรือพระราชบัญญัติ เพื่อเป้าหมายในการสร้างความปรองดองหรือยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ
“กฎหมายนิรโทษกรรมควรมีขอบเขตที่ชัดเจน และไม่ควรนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ การนิรโทษกรรมที่ดี ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและความจริง ไม่ใช่แค่การลบอดีตออกไป แต่ต้องยอมรับว่าเคยเกิดอะไรขึ้น แล้วเดินหน้าต่ออย่างมีบทเรียน”
“การนิรโทษกรรมสามารถช่วยประเทศเดินหน้าได้ในบางกรณี แต่ต้องไม่ขัดหลักนิติธรรม ไม่ควรละเว้นความผิดร้ายแรง เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการทุจริต เพราะจะทำลายระบบยุติธรรมทั้งระบบ”
“หากจะมีกฎหมายนิรโทษกรรม ต้องฟังเสียงประชาชนให้รอบด้าน และเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ไม่ใช่เพียงการตกลงกันของนักการเมืองเท่านั้น เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชนทั่วไป”
“เราไม่ควรใช้กฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจในอดีต แต่ควรใช้เพื่อลดผลกระทบของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง โดยต้องมีขอบเขตจำกัดชัดเจน เช่น นิรโทษกรรมเฉพาะการชุมนุมโดยสงบเท่านั้น”
เราไม่ได้ยิน สส. คนไหนเลยที่ไม่อยากให้อภัยประชาชน ที่ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมือง และไม่เห็น สส. ท่านใด ที่ตั้งข้อรังเกียจแบ่งแยกว่าคดี ม.112 เป็นคดีที่เกินกว่าให้อภัยได้ แต่มีความเห็นต่างบางอย่างซึ่งยอมรับกันได้ว่าคดี ม. 112 มาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา และควรได้รับการราชการหรือพิจารณาไม่ต่างจากคดีอื่น
การลงมติตรงนี้ ไม่ใช่เวทีที่เราจะมาแสดงออกถึงการจงรักภักดี หรือไม่จงรักภักดี หรือเรื่องใดๆ ก็ตาม แต่เป็นสิ่งที่เราต้องหาทางออกร่วมกัน สมานฉันท์กัน การผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีการเลือกปฏิบัติ ตนไม่เชื่อว่า จะเป็นการปลดชนวนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีต จึงอยากจะส่งข้อเรียกร้องไปยังพรรคอื่นๆ ที่ได้แสดงออกถึงจุดยืนของตัวเองแล้ว ว่าจริงๆ แล้ว ยังมีทางออกในสภาอยู่
การนิรโทษกรรมจะต้องดำเนินการกับ “ทุกฝ่าย” และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลที่ต้องคดีตามมาตรา 112 ด้วย ต้องเปิดทางสู่การรับฟังและหาทางออกร่วมกัน ไม่ใช่การตัดสินแบ่งแยก
เราจะส่งเสริมสันติสุขเสริมสร้างสันติสุขและสลายขั้วจากความขัดแย้งโดยทิ้งคนอีกกลุ่มหนึ่งไว้อย่างไร พรรคประชาชนใช้พลังมหาศาลในการแบกความหวัง ความเชื่อ ความจริงใจเพื่อเข้าไปพูดคุยกับพรรคต่างๆ แม้จะมีความเป็นไปได้เพียง 1% ก็ยินดีที่จะทำ ตนเองได้รับข้อความจาก สส.หลายคนที่บอกว่าเห็นใจ เข้าใจ และทำไม่ได้หรอกเรื่องมาตรา 112 กลัวจะถูกยุบพรรค บางคนบอกว่าการแก้กฎหมายยังมีปัญหาเลย
จะจำวันนี้ไว้ไม่ลืม การนิรโทษกรรมที่ควรจะเป็นการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมือง กลับกลายเป็นการมุ่งนิรโทษให้ม็อบกปปส. พันธมิตร ซ้ำเดิมความอยุติธรรม การเลือกปฏิบัติ และการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนต้องได้ 250 เสียง เพื่อผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมืองโดยไม่เลือกปฏิบัติให้ได้ หากมี 250 เสียง ต่อให้ สว. ไม่เห็นด้วย กฎหมายก็กลับมาสภาล่าง ใช้เสียงข้างมากยืนยันได้
กฎหมายนิรโทษกรรม อาจเป็นเครื่องมือในการเยียวยาความขัดแย้งของชาติ แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและอยู่บนพื้นฐานของ “หลักนิติธรรม” ไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการล้างผิดให้พวกพ้อง หรือปิดปากผู้เสียหาย
การฟังเสียงของทุกฝ่าย โดยเฉพาะเหยื่อและประชาชน คือกุญแจสำคัญในการสร้างกฎหมายที่ทุกคนยอมรับ และนำพาประเทศสู่การปรองดองที่แท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง