SHORT CUT
14 ตุลา พลังประชาชนโค่นล้มสามทรราช สิ้นสุดเผด็จการทหารที่ครองอำนาจยาวนาน เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่คนธรรมดาเป็นผู้เล่นหลักและทวงคืนประชาธิปไตย
ถ้าเราจะเล่าเรื่องใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เรื่องที่สำคัญที่ไม่ควรจะลืมและเต็มไปด้วยบทเรียนคือเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือ "วันมหาวิปโยค" เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่การเดินขบวนธรรมดา แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่แสดงให้เห็นว่าพลังของคนธรรมดานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
ก่อนที่เหตุการณ์จะปะทุ สังคมไทยอยู่ในสภาวะที่อำนาจถูกรวมศูนย์อย่างเบ็ดเสร็จมายาวนาน ตั้งแต่รัฐประหารปี 2501 ประเทศถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารภายใต้การนำของ จอมพลถนอม กิตติขจรการปกครองแบบนี้ดำเนินต่อมาจนกระทั่งปี 2514 เมื่อจอมพลถนอมตัดสินใจ "รัฐประหารตัวเอง"
การกระทำนี้เป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมืองและรัฐธรรมนูญที่กำลังถูกร่างอยู่ เพื่อกลับไปปกครองแบบเผด็จการทหารเต็มรูปแบบอีกครั้ง
การรัฐประหารตัวเองในปี 2514 คือการตอกย้ำว่า ช่องทางปกติในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง การเลือกตั้ง หรือการเจรจาในสภา ได้ถูกปิดตายลงอย่างสมบูรณ์ เมื่อทางออกถูกบีบแคบลง ความขัดแย้งและความคับข้องใจที่สะสมไว้จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องปะทุออกมาในรูปแบบของการประท้วงใหญ่บนท้องถนนเท่านั้น
อำนาจในเวลานั้นไม่ได้ถูกควบคุมโดยบุคคลเดียว แต่เป็นกลุ่มอำนาจที่ประชาชนเรียกในเวลาต่อมาว่า "สามทรราช" ได้แก่ จอมพลถนอม กิตติขจร (นายกรัฐมนตรี), จอมพลประภาส จารุเสถียร (รองนายกรัฐมนตรี), และ พ.อ. ณรงค์ กิตติขจร (บุตรชายของจอมพลถนอม ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมหน่วยกำลังทหารหลัก) การรวมศูนย์อำนาจและการสืบทอดอำนาจภายในครอบครัวเช่นนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนในวงกว้าง
เหตุการณ์ 14 ตุลา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันคือครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ที่ประชาชนผู้เป็น "ผู้ชม" ในเวทีการเมืองทหารมานานหลายทศวรรษ ได้ลุกขึ้นมาเป็น "ผู้แสดง" และสามารถโค่นล้มระบอบคณาธิปไตยนี้ลงได้ด้วยพลังมวลชน
การลุกฮือครั้งใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่มีชนวนหลายประการที่จุดไฟแห่งความโกรธแค้นของประชาชนที่สะสมมานาน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลทหารหมดสิ้นไปอย่างถาวร คือกรณีอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ทหารตกที่จังหวัดนครปฐม เมื่อเดือนเมษายน 2516
อีกหนึ่งจุดที่ทำให้พลังนักศึกษาแข็งแกร่งขึ้นคือกรณีของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก่อนหน้า 14 ตุลา มีการประท้วงใหญ่ในเดือนมิถุนายน 2516 เมื่อนักศึกษา 9 คน ถูกลบชื่อออกจากการเป็นนักศึกษา หลังออกหนังสือชื่อ "มหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีคำตอบ" ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการเสียดสีรัฐบาล
ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้เข้าสนับสนุนการประท้วงในครั้งนี้ โดยมีนิสิตนักศึกษาเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกว่า 8 หมื่นคน แม้ว่าการชุมนุมระยะแรกจะเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยรับนักศึกษา 9 คนกลับเข้าเรียนและให้อธิการบดีลาออก ซึ่งฝ่ายนักศึกษาชนะ แต่ข้อเรียกร้องได้ขยายตัวไปสู่ประเด็นใหญ่ระดับชาติ นั่นคือ การเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศใช้รัฐธรรมนูญภายใน 6 เดือน
ชนวนสุดท้ายที่จุดไฟประท้วงให้ลุกโชนคือ การจับกุมกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญจำนวน 13 คน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2516 ในกลุ่มนี้มีทั้งผู้นำนักศึกษาคนสำคัญ เช่น ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการ ศนท. นักวิชาการ และนักการเมือง โดยพวกเขาถูกตั้งข้อหาปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบและกบฏภายในราชอาณาจักร
การที่รัฐบาลประกาศให้การเรียกร้อง "รัฐธรรมนูญ" ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดของประชาธิปไตย กลายเป็นอาชญากรรม จึงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกบีบคั้นถึงที่สุด และจำเป็นต้องต่อสู้บนท้องถนนเพื่อทวงสิทธิของตนคืน
เมื่อการจับกุมเกิดขึ้น การประท้วงก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันที่ 9-12 ตุลาคม นักศึกษาและประชาชนเริ่มชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2516 การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้กลายเป็น "คลื่นมนุษย์" ที่มีจำนวนมหาศาลและในที่สุด วันที่ 14 ตุลาคม มีผู้เข้าร่วมชุมนุมเพื่อต่อต้านระบอบเผด็จการทหารสูงกว่า 500,000 คน
ผู้นำนักศึกษา อาทิ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ได้นำขบวนเคลื่อนออกจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังลานพระบรมรูปทรงม้าและสวนจิตรลดา โดยมีความหวังว่าจะได้รับความคุ้มครองและเป็นที่พึ่งจากสถาบันหลัก
แม้ว่าในช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 13 ตุลาคม รัฐบาลได้ยอมรับข้อเรียกร้องว่าจะปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมทั้งหมดและจะให้มีรัฐธรรมนูญภายในหนึ่งปี แต่สถานการณ์ความตึงเครียดไม่ได้คลี่คลายลง และก่อนเที่ยงวันของวันที่ 14 ตุลาคม รัฐบาลได้ตัดสินใจใช้กำลังปราบปรามเข้าสลายการชุมนุมอย่างรุนแรง
เจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังและอาวุธในการปราบปรามประชาชนและนักศึกษาบริเวณถนนราชดำเนินและพระบรมมหาราชวัง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 77 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสูงถึง 857 คน ความสูญเสียนี้ทำให้รัฐบาลทหารหมดความชอบธรรมลงอย่างสิ้นเชิง
ในระหว่างการปะทะครั้งใหญ่ ได้เกิดการก่อจลาจลและการเผาทำลายสถานที่ราชการบางแห่งที่ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการทุจริตและการบิดเบือนข้อมูล โดยเฉพาะ กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งประชาชนเรียกติดปากว่า 'กรมกร๊วก' เนื่องจากถูกกล่าวหาว่านำเสนอข่าวที่บิดเบือนและใส่ร้ายผู้ชุมนุม และสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ซึ่งเป็นแหล่งเงินนอกสภาของรัฐบาลในเวลานั้น
จุดพลิกผันที่แท้จริงไม่ได้มาจากพลังประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความขัดแย้งภายในชนชั้นนำด้วย ในวันที่ 15 ตุลาคม พลเอกกฤต ศรีวรา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ถอนตัวออกจากการสนับสนุนรัฐบาลจอมพลถนอม
การที่กองทัพเกิดการแตกหักและผู้มีอำนาจหลักไม่ให้การสนับสนุนอีกต่อไป เป็นปัจจัยสำคัญที่บีบคั้นให้รัฐบาลเผด็จการต้องตัดสินใจลงจากอำนาจ
ในที่สุด เวลา 18:40 น. ของวันที่ 15 ตุลาคม 2516 สถานีวิทยุได้ประกาศข่าวการลาออกของจอมพลถนอม และการเดินทางออกนอกประเทศของ "สามทรราช" นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ และนับเป็นจุดเริ่มต้นของ "การทดลองประชาธิปไตย" ในระยะสั้น
เหตุการณ์ 14 ตุลา ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาชนในการโค่นล้มระบอบคณาธิปไตยที่ฝังรากลึก แม้จะเป็นเพียงการทดลองประชาธิปไตยที่กินเวลาเพียงสามปี (2516-2519) แต่สิ่งที่ 14 ตุลา ได้มอบไว้ให้แก่สังคมไทยคือ "สปิริต" (จิตใจ) ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม
มันเป็นเครื่องยืนยันว่า พลังของคนธรรมดานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด และประชาชนได้กลายเป็น "ตัวแสดง" ทางการเมืองที่สำคัญอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจก็มีความชัดเจน เหตุการณ์ 14 ตุลา สร้าง "Culture Shock" ครั้งใหญ่ให้กับกองทัพไทย เพราะมันเป็นการสิ้นสุดการสืบทอดอำนาจของกลุ่มทหารที่ครองอำนาจทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2490
อ้างอิง
สถาบันพระปกเกล้า / CU / SilpaMag / Today / สถาบันปรีดีฯ / EPG / RU / OB / PRD / TSD / 101 /