
SHORT CUT
คดีหนี้ปลาทูน่ามรณะหลักพันล้านของ อดีตรมต.คลัง มานูเอล ชาง รับสินบน 7 ล้านดอลลาห์ฯ นำประเทศสู่หายนะทางเศรษฐกิจ และถูกตัดสินจำคุก 8 ปีครึ่งในสหรัฐฯ
ในโลกของการเมืองและการเงินระดับโลก เรื่องราวของมานูเอล ชาง (Manuel Chang) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของโมซัมบิก ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของการคอร์รัปชันข้ามชาติที่สามารถทำลายประเทศชาติได้อย่างแท้จริง
ชางดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2005 ถึงเดือนมกราคม 2015 ภายใต้ประธานาธิบดีอาร์มันโด เกวบูซา (Armando Guebuza) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการสมคบคิดกับกลุ่มธุรกิจและสถาบันการเงินระดับโลกเพื่อจัดหาเงินกู้ลับมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับประเทศ
การฉ้อโกงครั้งใหญ่นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "วิกฤตหนี้ซ่อนเร้น" หรือ "วิกฤตพันธบัตรปลาทูน่า" (Tuna Bonds Scandal)
หัวใจสำคัญของคดีนี้คือการที่ชางยอมรับสินบนจำนวน 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลงนามค้ำประกันเงินกู้ลับเหล่านี้ในนามของสาธารณรัฐโมซัมบิก
การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ฉ้อโกงนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังทำให้รัฐบาลโมซัมบิกต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่โดยที่เงินส่วนใหญ่ถูกยักยอกไปเป็นสินบนและเงินทอน
ในที่สุด มานูเอล ชาง ก็ต้องเผชิญหน้ากับความยุติธรรมในศาลสหรัฐอเมริกา โดยเขาถูกจับกุมในแอฟริกาใต้ในปี 2018 และถูกส่งตัวไปยังสหรัฐฯ ในปี 2023
หลังจากการพิจารณาคดีนาน 4 สัปดาห์ เขาถูกคณะลูกขุนตัดสินว่ามีความผิดฐานสมคบคิดในการฉ้อโกงและสมคบคิดในการฟอกเงิน ในเดือนสิงหาคม 2024 และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 ปีครึ่ง (102 เดือน) ในเดือนมกราคม 2025
คดีนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าการคอร์รัปชันระดับสูงในประเทศที่ยากจนสามารถส่งผลกระทบที่ร้ายแรงและยาวนานต่อชีวิตประชาชนได้อย่างไร
โครงการที่ดูเหมือนจะมีความชอบธรรมนี้เริ่มขึ้นในช่วงปี 2013 ถึง 2016 โดยเป็นการสมคบคิดระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโมซัมบิก ธุรกิจต่อเรือในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Privinvest Group) และวาณิชธนกิจต่างประเทศสองแห่ง ได้แก่ Credit Suisse และ VTB Capital
เงินกู้มูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกส่งผ่านบริษัทรัฐวิสาหกิจ 3 แห่งที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น หรือที่เรียกว่า กิจการเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ (Special Purpose Vehicles - SPVs) ได้แก่ Proindicus S.A., EMATUM S.A. (Empresa Moçambicana de Atum), และ Mozambique Asset Management (MAM)
ชื่อโครงการเหล่านี้ดูสวยงามและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดย EMATUM อ้างถึงการจัดซื้อกองเรือประมงปลาทูน่า ส่วน Proindicus และ MAM มุ่งเน้นไปที่การรักษาความปลอดภัยทางทะเลและการจัดการสินทรัพย์
อย่างไรก็ตาม การตั้งชื่อโครงการให้ดู "เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ" เช่น "กองเรือประมงปลาทูน่า"ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นฉากหน้าในการปกปิดการยักยอกเงินทุนขนาดใหญ่
ในฐานะรัฐมนตรีคลัง ชางได้ลงนามในเอกสารค้ำประกันเงินกู้ให้กับ SPVs เหล่านี้ ทำให้รัฐบาลโมซัมบิกต้องรับผิดชอบในหนี้ก้อนนี้ทั้งหมด
การกระทำของชางเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน เนื่องจากมีการออกเอกสารค้ำประกันโดยไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะและไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายงบประมาณและรัฐธรรมนูญของประเทศ แท้จริงแล้วเงินกู้ที่ควรจะใช้สำหรับโครงการเดินเรือกลับถูกนำไปใช้เป็น "สินบนและเงินทอน" มากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การฉ้อโกงนี้เป็นตัวอย่างของ "การฉกฉวยรัฐ" ที่มีมิติระดับโลกอย่างแท้จริง การที่อดีตรัฐมนตรีคลังสามารถโยนภาระหนี้ที่สูงถึง 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของโมซัมบิก
โดยปราศจากการตรวจสอบใดๆ แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่ไม่จำกัดของชนชั้นนำทางการเมืองที่จับมือกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ผู้บริหารของ Privinvest Group ซึ่งเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์และเรือ ถูกระบุว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจ่ายสินบนจำนวนมากให้กับเจ้าหน้าที่โมซัมบิก
มานูเอล ชาง ได้รับสินบนโดยตรง 7 ล้านดอลลาร์ เงินก้อนนี้เป็นค่าตอบแทนที่เขาใช้อำนาจของรัฐมนตรีคลังเพื่อประกันความเสี่ยงให้กับบริษัทเอกชน
บทบาทของสถาบันการเงินระดับโลกก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ธนาคาร Credit Suisse และบริษัทในเครือในสหราชอาณาจักร (CSSEL) ได้จัดหาเงินกู้และนำหนี้เหล่านี้ออกขายให้กับนักลงทุนทั่วโลก
ในภายหลัง Credit Suisse ยอมรับความผิดต่อทางการสหรัฐฯ ในข้อหาสมคบคิดในการฉ้อโกงและตกลงที่จะจ่ายค่าปรับจำนวนมหาศาลเกือบ 350 ล้านปอนด์ และยังตกลงที่จะยกหนี้บางส่วนให้กับโมซัมบิกด้วย
การดำเนินคดีนี้ยืนยันว่าสถาบันการเงินเหล่านี้มีส่วนในการอำนวยความสะดวกในการฟอกเงิน โดยการ "ฟอกความน่าเชื่อถือ" ให้กับโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคอร์รัปชัน การที่ธนาคารระดับโลกยังคงเดินหน้าทำธุรกรรมแม้จะมี "ธงแดง" (Red Flags) ด้านคอร์รัปชันหลายอย่างแสดงให้เห็นว่าผลกำไรมีมูลค่าสูงกว่าความรับผิดชอบทางศีลธรรมและการกำกับดูแล
เมื่อวิกฤตหนี้ซ่อนเร้นถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ในปี 2016 ผลที่ตามมาก็คือหายนะทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โมซัมบิก ซึ่งเคยถูกยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ได้ผิดนัดชำระหนี้ทันที
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มผู้บริจาคระหว่างประเทศ 14 ราย ได้ระงับความช่วยเหลือและเงินกู้ทั้งหมดต่อรัฐบาลโมซัมบิก
การตัดความช่วยเหลือทางการเงินนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ทำให้สกุลเงินประจำชาติ (Metical) อ่อนค่าลงถึง 70% และอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP พุ่งสูงจาก 61% ในปี 2016 เป็น 104% ในปี 2018
แต่ต้นทุนที่แท้จริงของการคอร์รัปชันครั้งนี้คือชีวิตของประชาชน ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศสูญเสียทางอ้อมไปแล้วอย่างน้อย 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกือบเท่ากับ GDP ทั้งประเทศในปี 2016
มีการประเมินว่าประชาชนเกือบ 2 ล้านคนถูกผลักเข้าสู่ความยากจนอย่างรุนแรง เนื่องจากการขาดงบประมาณด้านสวัสดิการ สุขภาพ และการศึกษา
วิกฤตนี้เน้นย้ำถึงความล้มเหลวของการกำกับดูแลระดับโลก โดยเฉพาะจากองค์กรอย่างธนาคารโลก ซึ่งยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ การทำงานของพวกเขาเน้นไปที่การสร้างขีดความสามารถทางเทคนิคมากเกินไป และไม่ได้ให้ความสนใจที่เพียงพอต่อความเสี่ยงด้านการคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในโครงสร้างการเมือง
การดำเนินคดีกับมานูเอล ชาง แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการประสานงานด้านการบังคับใช้กฎหมายข้ามชาติในการต่อสู้กับการคอร์รัปชันขนาดใหญ่ ชางถูกจับกุมในแอฟริกาใต้เมื่อเดือนธันวาคม 2018 ตามคำร้องขอของอัยการสหรัฐฯ
กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมีความซับซ้อนและล่าช้า เนื่องจากรัฐบาลโมซัมบิกเองก็ยื่นคำร้องขอแข่งขันเพื่อให้ชางถูกส่งกลับประเทศ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการพยายามป้องกันไม่ให้เขาถูกไต่สวนในศาลต่างประเทศที่อาจเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับชนชั้นนำในประเทศ
ในที่สุด โมซัมบิกได้ถอนคำร้องในปี 2020 และชางถูกส่งตัวไปยังเขตตะวันออกของนิวยอร์กในเดือนกรกฎาคม 2023
การตัดสินโทษในศาลสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 กำหนดให้ชางต้องรับโทษจำคุก 102 เดือน (8 ปีครึ่ง) และถูกสั่งให้ชดใช้เงิน 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นจำนวนสินบนที่เขาได้รับ
การตัดสินโทษนี้มีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ต่างประเทศที่ใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อกระทำอาชญากรรมที่มุ่งเป้าไปที่ระบบการเงินของสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ
นอกเหนือจากการดำเนินคดีกับชางในสหรัฐฯ แล้ว ยังมีความยุติธรรมที่เกิดขึ้นในมิติอื่นๆ ด้วย
เช่น ในโมซัมบิก ศาลท้องถิ่นได้ตัดสินลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและสมาชิกในครอบครัวของอดีตประธานาธิบดีหลายคน รวมถึง Ndambi Guebuza บุตรชายของอดีตประธานาธิบดี และอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองสองคน โดยจำคุกสูงสุดถึง 12 ปี
ในสหราชอาณาจักร: ศาลสูงในลอนดอนตัดสินว่า Privinvest Group ต้องรับผิดชอบในการจ่ายสินบน และสั่งให้บริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐบาลโมซัมบิกเป็นจำนวนประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การดำเนินคดีหลายฝ่ายนี้เป็นตัวอย่างของ "ความยุติธรรมหลายมิติ" ที่ระบบกฎหมายของประเทศต่างๆ เข้ามามีบทบาท โดยสหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่การลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐผู้รับสินบน, สหราชอาณาจักรเน้นการบีบให้บริษัทเอกชนต้องชดใช้หนี้สิน และโมซัมบิกเองก็ดำเนินการลงโทษชนชั้นนำภายในประเทศ
คดีของมานูเอล ชาง เป็นมากกว่าคดีการฟอกเงินและการรับสินบนส่วนตัว แต่เป็นภาพสะท้อนของการทรยศต่อหน้าที่และการใช้อำนาจรัฐอย่างสุดโต่ง ชางใช้ความน่าเชื่อถือของรัฐมนตรีคลังเพื่อนำพาประเทศเข้าสู่หายนะทางการเงิน โดยทิ้งภาระหนี้ก้อนยักษ์ให้กับประชาชนที่ยากจนที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลก
บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากวิกฤตหนี้ซ่อนเร้นของโมซัมบิกคือต้นทุนทางมนุษยธรรมที่แท้จริงของการคอร์รัปชัน โดยเฉพาะการที่ประชาชนเกือบ 2 ล้านคนต้องตกอยู่ในความยากจน
นอกจากนี้ วิกฤตนี้ยังเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบการกำกับดูแลหนี้ภาครัฐระดับโลก องค์กรการเงินระหว่างประเทศต้องปรับปรุงกลไกการตรวจสอบให้เข้มงวดขึ้น โดยไม่เพียงแต่พิจารณาตัวเลขทางการเงินเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงพลวัตของเศรษฐกิจการเมืองและความเสี่ยงด้านคอร์รัปชันที่อาจนำไปสู่การกู้ยืมอย่างลับๆ และผิดรัฐธรรมนูญในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง
การตัดสินลงโทษชางในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายข้ามชาติที่แข็งแกร่ง และส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าตำแหน่งหรืออำนาจทางการเมืองไม่สามารถใช้เป็นเกราะป้องกันอาชญากรรมทางการเงินระดับโลกได้อีกต่อไป
ความยุติธรรมในคดีนี้ยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการทำให้มั่นใจว่าประเทศโมซัมบิกจะได้รับการชดใช้ความเสียหายอย่างสมเหตุสมผล และบทเรียนอันขมขื่นนี้จะนำไปสู่การป้องกันไม่ให้เกิด "หนี้ซ่อนเร้น" ที่ทำลายชาติเช่นนี้ได้อีกในอนาคต
อ้างอิง
Justice / HSF / GOV / APNews / Debt / Corruption / Ohchr / IEG / CMI / Spotlight / TheGuardian / OpenSecrets / Costs / Cipmoz / Basel / VoaNews /