
SHORT CUT
เปิดฉากทัศน์การเมือง วัดใจรัฐบาลอนุทิน “ยุบสภา” ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรอถึง 31 ม.ค.69 หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 อาจทำให้นายกฯ ตัดสินใจยุบสภาก่อนกำหนดได้
“ผมตั้งใจยุบสภา 31 ม.ค. 2569 อยู่แล้ว ผมคงไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาลเล่นๆฟรีๆ ถ้าเกิดมันเป็นเกมการเมือง เกิดรัฐบาลมันสู้เกมการเมืองไม่ได้ก็ยุบสภาไป ห่างกันแค่เดือนเดียวก็คงไม่ได้เกิดความแตกต่างอะไรกันมากนัก” อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวในเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ในหัวข้อ Thailand’s Next Forntier : A National Economic Vision เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568
จากกระแสข่าวว่าด้วยการยุบสภาของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ก็อาจทำให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภาได้
แรงสั่นสะเทือนทางการเมืองเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อปรากฏสัญญาณว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล อาจตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคม 2568 ก่อนครบวาระสภาที่คาดหมายเดิมราวเดือนมกราคม 2569
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวตอนหนึ่งถึงสถานการณ์การเมือง ในงานสัมมนา PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ ว่า ปีหน้ายังไงก็ต้องเลือกตั้ง เพราะสภาพการเมืองที่มันดำรงมาจนถึงจุดนี้ ต้องยอมรับตรงๆ ว่ามันไปไม่ได้แล้ว รัฐบาลเสียงข้างน้อยมันจะไปได้อย่างไร ไม่ต้องมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะอภิปรายก็แพ้ ตนบอกแล้วว่า 31 ม.ค.69 แต่ท่านรอถึงวันที่ 31 ม.ค.69 ไม่ไหวก็ไม่มีปัญหา
ท่านจะให้ผมยุบสภาวันที่ 12 ธ.ค.68 วันเปิดสภา ผมก็พร้อมยุบ
ถ้าเป็นอย่างนั้น จะมีอะไรที่มันทำไม่เสร็จหลายอย่าง จะมาโทษตนไม่ได้ ตนไม่ยอม ถ้าบอกว่าให้อภิปรายฯ แล้วให้โหวตก็แพ้ หรือต่อให้อภิปรายดีขนาดไหนหรือตอบโต้ชี้แจงดีขนาดไหนก็แพ้ เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยมันไม่ใช่วิน-วิน
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แย้มความเป็นไปได้ในการยุบสภาเร็วกว่ากรอบ 4 เดือน หากถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในลักษณะเป็นเกมการเมืองหรือมีจุดประสงค์เพื่อ "ล้างแค้น" ชี้ชัดไม่ยอมให้รัฐบาลถูกโจมตีฟรี ย้ำพร้อมคืนอำนาจประชาชนทันทีหากสถานการณ์บีบให้ต้องตัดสินใจ
นโยบายประชานิยมมักได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนในวงกว้างในระยะสั้น เนื่องจากมุ่งเน้นการแก้ปัญหาปากท้องและให้ผลประโยชน์โดยตรง เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส การตอบรับที่ดีนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นโยบายเหล่านี้ยังคงเป็นแนวทางหลักที่พรรคการเมืองไทยนำมาใช้หาเสียงและดำเนินงาน
อนุทิน เปิดเผยถึงรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย มีทั้ง 3 คน ประกอบด้วย ตนเอง นายเอกนิติ และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ โดยจะต้องถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของพรรคภูมิใจ หากทันในวันที่ 23 พ.ย.นี้ก็จะเสนอทันที นายเอกนิติและนางศุภจี เป็นคนทำงานดี เข้าใจงาน ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่านายเอกนิติและนางศุภจี จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย
ต้องยอมรับว่า “รัฐบาลอนุทิน” ได้แต้มบวกจาก “เอกนิติ - ศุภจี” ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดี มีผลงานเชิงประจักษ์ และเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐ - ภาคเอกชน
เมื่อไฟต์บังคับให้พรรคการเมืองส่งรายชื่อแคนดิเดตนายกฯให้ครบ 3 คน เผื่อเหลือเผื่อขาด หากสอยพ้นเก้าอี้ผู้นำ ยังจะมี 'ตัวสำรอง' ให้เสนอชื่อโหวตใหม่ ชื่อของ "เอกนิติ-ศุภจี" จึงเป็นตัวเลือกที่ภูมิใจไทย ประเมินแล้วว่าสามารถต่อยอดจากผลงานได้
พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นจุดหมายของนักการเมืองและกลุ่ม "บ้านใหญ่" โดยเฉพาะจากภาคใต้ ภายใต้การนำของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่ต่อยอดจากพื้นที่เดิมไปยังสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี และเพชรบุรี ทั้งหมดสะท้อนว่าพรรคเตรียมรับมือการเลือกตั้งที่อาจมาถึง “เร็วกว่ากำหนด”
การดึงเครือข่ายการเมืองและกลุ่มบ้านใหญ่จากหลายพื้นที่ เช่น กลุ่มมะขามหวาน กลุ่มการเมืองในโคราช สงขลา สุพรรณบุรี และกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นสำคัญ ทำให้เป้าหมายเพิ่มจำนวน ส.ส. จากราว 70 คนไปแตะระดับกว่า 100 คน
การดึงดูด สส. และกลุ่มการเมืองต่างๆ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ "4+4" คือการเป็นรัฐบาล 4 เดือนก่อนยุบสภา เพื่อรวบรวมกำลังคนสำหรับจัดตั้งรัฐบาลและครองอำนาจต่ออีก 4 ปีหลังการเลือกตั้ง
หลังจากที่ ครม. มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถูกมองว่า เป็นการจัดทัพครั้งใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย การโยกย้ายระดับผู้ว่าราชการจังหวัดล็อตแรก 45 ตำแหน่ง ล็อตที่สอง 18 ตำแหน่ง รวมไปถึงโผแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับและผู้บังคับบัญชาช่วงปลายปี ให้เรียบร้อยก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
การแต่งตั้งครั้งนี้เน้นการวางตัวบุคคลที่ใกล้ชิดพรรคและกลุ่ม "บ้านใหญ่" ในตำแหน่งสำคัญ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อควบคุมกลไกบริหารในพื้นที่ยุทธศาสตร์
เป้าหมายหลัก คือการสร้างเครือข่ายอำนาจในระดับท้องถิ่น เพื่อสร้างความได้เปรียบและเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569
การยุบสภาทำให้สนามเลือกตั้งรอบใหม่มี “สมการเริ่มต้น” ที่เปลี่ยนไป พรรคภูมิใจไทยซึ่งเตรียมทัพไว้ล่วงหน้าจะลงสนามในฐานะพรรคที่ยังคงมีโครงสร้าง สส.ครบถ้วนและแคนดิเดตนายกฯ พร้อมต่อสู้
ส่วนพรรคเพื่อไทยมีความพร้อมในการเข้าสู่สนามเลือกตั้งน้อยมาก ส.ส.เก่ามีเลือดไหลออกจากพรรคไม่ขาดสาย ยังไม่สามารถที่จะหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคได้ครบทั้ง 3 คน ยังไม่มีการตกผลึกทางความคิดเกี่ยวกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และ ทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ยังอยู่ในเรือนจำ
ขณะที่พรรคประชาชนอาจต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูงจากการขาดแกนนำพื้นที่ และต้องปรับยุทธศาสตร์รับมือกับข้อจำกัดทางกฎหมายไปพร้อมกับการหาเสียง
การเมืองไทยจึงกำลังเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จังหวะยุบสภา มิได้เป็นเพียงการกำหนดวันเลือกตั้ง แต่เป็นการกำหนด “เงื่อนไขตั้งต้น” ของดุลอำนาจใหม่ทั้งระบบ
ก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศ ยุบสภา 31 มกราคม 2569 และจัดเลือกตั้งพร้อมประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 29 มีนาคม 2569 แต่ล่าสุดนายกฯ ประกาศพร้อมยุบสภา 12 ธ.ค. 2568 ไม่ต้องรอยึดไทม์ไลน์ 31 ม.ค. 69 ชี้รัฐบาลเสียงน้องอภิปรายก็แพ้ บอกอะไรที่ไม่เสร็จหลายอย่างอย่าตำหนิ-โยนต้องโทษคนยื่นอภิปราย ทำให้มีแนวโน้มจะจัดการเลือกตั้งช่วงเดือน ม.ค. 2569
ที่มา : posttoday , กรุงเทพธุรกิจ