"มาดามเดีย" แจงการรับบริการสิทธิ์บัตรทองหลังถูกยกเลิกสัญญาคลินิกทุจริต

ที่มูลนิธิสยามรวมใจปู่อินทร์ บริเวณแฟลตคลองจั่นที่ 28 ถนนเสรีไทย น.ส. วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และน.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ส.ส.กทม.เขตบางกะปิ-วังทองหลาง พรรคพลังประชารัฐ เชิญ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เข้าชี้แจงมาตรการดูแลประชาชน ภายหลังจาก สปสช. ยกเลิกสัญญากับคลินิกและโรงพยาบาลที่ทุจริตงบบัตรทองให้กับประชาชนในเขตบางกะปิ-วังทองหลาง ได้รับทราบแนวทางปฏิบัติต่อจากนี้  GSK ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า ลดสูงสุด 45%

โดย น.ส.วทันยา กล่าวว่า  ปัจจุบันมีข่าวเท็จเผยแพร่เป็นจำนวนมากดังนั้นการสื่อสารข้อเท็จจริงไปยังพี่น้องประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนกรณีการยกเลิกสัญญาบัตรทองกับคลินิกที่ทุจริตสวมสิทธิการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่ง เหตุผลในการยกเลิกเป็นเพราะมีการทุจริตไม่ใช่รัฐบาลถังแตกไม่มีเงิน เงินงบประมาณเป็นเงินแผ่นดิน ทุกบาทที่นำไปใช้จึงต้องสุจริต เป็นไปตามกฎหมาย หากเอาไปใช้โดยมิชอบ ทุจริตหรือ โกง ถือเป็นการทำผิดมหันต์ ที่สำคัญงบประมาณที่ใช้คือเงินประชาชน ไม่ใช่เงินรัฐบาล แต่รัฐบาลมีหน้าที่เข้ามาบริหารเท่านั้น จึงจำเป็นต้องต้องปกป้องเงินและผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลของการยกเลิกสัญญากับคลินิก 188 แห่ง เพราะเรายอมไม่ได้ 

ด้าน ทพ.อรรถพร ชี้แจงว่า ตอนนี้สถานการณ์ภาพรวมรัฐบาลยังสนับสนุนสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า  สิทธิการรักษาพยาบาลบัตรทองยังอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวที่เกิดขึ้นใน พื้นที่ กทม. แต่ภายในวันที่ 1 พ.ย.จะกลับเข้าสู่ปกติ เพราะขณะนี้ทาง สปสช.กำลังหาหน่วยบริการสาธารณสุขใหม่ใน 2 รูปแบบ คือ คลินิกชุมชนแบบเดิมและอาจจะตั้งอยู่ในที่เดิมและมีเพิ่มเติม 2. คลินิกในเวลาราษฎร โดยวันที่ 15 ต.ค.นี้จะเปิดหน้าสุขภาพในตัวแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์ เพิ่มเติม โดยผู้ป่วยสามารถเข้าไปจองคิวในการรับยาและรับการรักษาจากคลินิกใกล้บ้านได้ เพราะตอนนี้มีประชาชนไปใช้บริการโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก การเดินทางไปอาจทำให้เสียเวลา ดังนั้นสามารถจองผ่านแอพได้เลย ว่าจะไปรับยาวันไหนเวลาไหน พอไปถึงก็สามารถรับยาได้เลยไม่ต้องรอนาน แต่หากผู้ป่วยอาการคงที่กฌสามารถรับยาผ่านร้านขายยา หรือ ให้ โรงพยาบาลส่งยาให้ทางไปรษณีย์ได้ 

ทพ.อรรถพร กล่าวด้วยว่า ตอนนี้หน่วยบริการถูกยกเลิกไปแต่สิทธิบัตรทองยังอยู่และสามารถไปรับการรักษาที่ไหนก็ได้ ซึ่งกรณีเจ็บป่วยไม่มากแนะนำให้ไปรับการรักษาที่ศูนย์บริการสาธารณสุขหากอาการหนักจะมีการส่งต่อไปยังโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลใหญ่

ส่วนการย้ายสิทธินั้น ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 1 พ.ย.พี่น้องประชาชนไม่ต้องเลือกหน่วย ไปรักษาที่ไหนก็ได้ ไปได้ทุกที่  แต่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป สปสช.จะเลือกหน่วยบริการประจำให้ประชาชนที่มีสิทธิทั้งหมดโดยยึดหน่วยเดิมหรือใกล้หน่วยเดิมเป็นหลัก และทาง สปสช.จะลงสิทธิให้ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยที่ต้องรับยาต่อเนื่อง และผู้สูงอายุ จากนั้นจะลงสิทธิให้กับประชาชนทั่วไปตามลำดับ แต่หากหน่วยที่ สปสช.ลงสิทธิให้ไม่ถูกใจ สามารถเปลี่ยนหน่วยได้เองปีละ 4 ครั้ง โดยไปเปลี่ยนได้ที่สำนักงานเขตของ กทม.2.เปลี่ยนในแอพพลิเคชั่น และโทรศัพท์ให้ สปสช.เปลี่ยนให้  อย่างไรก็ตามไม่ต้องกังวลว่าหน่วยบริการใหม่ที่อยู่ใกล้บ้านจะเต็ม เพราะเราหาหน่วยบริการเข้ามาทดแทน 500 หน่วยและเพิ่มจำนวนผู้ลงทะเบียนในแต่ละหน่วยด้วย รวมทั้งแต่ละศูนย์จะมีเครือข่ายที่อยู่รอบๆ ดังนั้นโอกาสที่จะต้องไปรักษาพยาบาลไกลพื้นที่ก็จะมีน้อยลง

นอกจากนี้ ทพ.อรรถพร ยังกล่าวถึงปัญหาในเรื่องของใบส่งตัว ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 เป็นต้นไป ผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาพยสยาลต่อเนื่องไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ใช้เพียงบัตรประชาชนในการยืนยันเท่านั้น 

นอกจากนี้ น.ส.วทันยา ยังชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ สปสช.ที่ได้ทำงานในช่วงที่ผ่านมาอย่างเต็มที่และดีอยู่แล้ว ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้างได้ดำเนินการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ให้กลับมาซ้ำอีก รวมถึงยังได้มีการวางแผนการทำงานให้มีความรัดกุม ทั้งในเรื่องของการตรวจสอบและยืนยันตัวตนโดยการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆเข้ามาใช้ เพื่อให้เกิดความถูกต้อง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้ความสะดวกในการบริการประชาชน ทั้งนี้สิ่งที่ตนอยากจะฝากถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม คือ การยกเลิกสิทธิหรือการเปลี่ยนแปลงสิทธิต่างๆ จะเห็นจากผลกระทบที่ผ่านมาที่ประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมากถึง 2 ล้านคน โดยเฉพาะคนที่ได้รับความเดือดร้อนขณะนี้ส่วนใหญ่ก็มีการเจ็บป่วยอยู่ ดังนั้นในเรื่องของการสื่อสารต่างๆจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

ขณะที่ น.ส.ฐิภัสร์ กล่าวว่า วันนี้ตนและ น.ส.วทันยา ได้เชิญทาง สปสช.เข้ามาให้ข้อมูลกับประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องที่จะต้องไปหาหมอในช่วงนี้ ที่มีการยกเลิกสัญญากับคลินิกและโรงพยาบาลที่เคยใช้บริการอยู่ ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งตนในฐานะที่เป็น ส.ส.ก็จะช่วยเป็นกระบอกเสียง และประชาสัมพันธ์ข้อมูบให้กับประชาชน รวมถึงเป็นตัวเชื่อมระหว่างประชาชนกับ สปสช.ด้วย