svasdssvasds

เสียง ‘คนชายแดน’ สงคราม สนามอารมณ์ ‘ไม่ขำ’ เหมือนการ์ตูน

เสียง ‘คนชายแดน’ สงคราม สนามอารมณ์ ‘ไม่ขำ’ เหมือนการ์ตูน

เสียงจากนักเขียนการ์ตูนขายหัวเราะ ผู้เคยเป็นทหารแนวหน้าชายแดนช่องบก ไม่ใช่แค่สมรภูมิในอดีต แต่คือบาดแผลในใจ ที่เตือนว่า "สงครามไม่เหมือนอ่านการ์ตูน"

SHORT CUT

  • "อ๋อน ขายหัวเราะ" เตือนสงครามไม่ใช่เรื่องบันเทิง ความจริงของสงครามเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่เหมือนในการ์ตูน
  • ชาวบ้านสองฝั่งชายแดนไทย-กัมพูชา ยังมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ได้เป็นศัตรูอย่างที่โซเชียลปลุกเร้า
  • ในฐานะผู้ที่เคยผ่านสมรภูมิรบ เขายืนยันว่าแม้จำเป็นต้องรบเพื่อปกป้องอธิปไตย แต่สุดท้ายแล้ว สงครามใดๆ ก็ต้องจบลงด้วยการเจรจา

เสียงจากนักเขียนการ์ตูนขายหัวเราะ ผู้เคยเป็นทหารแนวหน้าชายแดนช่องบก ไม่ใช่แค่สมรภูมิในอดีต แต่คือบาดแผลในใจ ที่เตือนว่า "สงครามไม่เหมือนอ่านการ์ตูน"

ท่ามกลางทหารไทยตรึงกำลังป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยจากกัมพูชา

ความคุกรุ่นบริเวณ ‘ช่องบก’ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี และตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ถูกโหมกระหน่ำด้วยเชื้อเพลิงแห่งความรักชาติ จากผู้คนจำนวนหนึ่ง ของทั้งสองประเทศ ใช้โซเชียลมีเดียเป็นสนามอารมณ์ ปลุกเร้าให้เดินหน้าบดขยี้ มองข้ามชีวิตคนตามเส้นขนานของชายแดน ความขมขื่นของการสูญเสีย หรือผลกระทบทำที่ทำให้ทำมาหากินด้วยความยากลำบาก

ขณะที่กองทัพ และรัฐบาล ยังยึดแนวทาง ‘สันติวิธี’ มุ่งหาทางออกความขัดแย้งด้วยการหารือระหว่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ให้ซ้ำรอยเหมือนปี 2554 ในกรณีเขาพระวิหาร

"สงครามมันไม่เหมือนเรานั่งดูหนังหรือนอนอ่านการ์ตูน"

คำเปรียบเปรยที่ตกผลึกจากห้วงทรงจำของ ‘วีระเดช ไกรศรี’ หรือ ‘อ๋อน ขายหัวเราะ’ ผู้รวยอารมณ์ขันในหน้ากระดาษ แต่อีกช่วงฉากชีวิตของเขาคือผู้ยืนอยู่ในแนวหน้าบนสมรภูมิ 3 แผ่นดิน หรือ ‘สมรภูมิช่องบก’ มาแล้ว 

"ชาวบ้านแถวนี้เขาไม่ได้มีปัญหากัน คนที่อยากให้รบกัน ส่วนมากไม่ได้อยู่แถวนั้นนะ เขาไม่สนคนพื้นที่ว่าจะคิดอย่างไร" เขาสะท้อนความรู้สึกของคนชายแดน ผู้เคยผ่านดงกลิ่นคาวเลือด

เสียง ‘คนชายแดน’ สงคราม สนามอารมณ์ ‘ไม่ขำ’ เหมือนการ์ตูน

หนุ่มอุบลฯ คนขายขำ

‘อ๋อน ขายหัวเราะ’ ชายหนุ่มเลือดอุบลฯ เขาคือน้องแท้ๆ ของ ‘เอ๊าะ ขายหัวเราะ’ เจ้าของผลงานเขียนหนูหิ่นอินเตอร์อันลือลั่น 

อ๋อนเป็นหนึ่งในนักเขียนการ์ตูนขายหัวเราะ และมหาสนุก หนังสือการ์ตูนแถวหน้า ช่วงปี 2537-2547 เขาโลดแล่นในวงการฝากผลงานไว้อย่างมากมายในรูปแบบมุขสามแก๊ก และยังมีดีกรีเป็นนักแต่งเพลง เป็นหนึ่งในขุนเพลงทีมงาน ครูสลา คุณวุฒิ แห่งค่ายแกรมมี่ฯ 

"ผมเป็นคนที่เรียกว่า 'ชายขอบ' ในภาษาใหม่ ถ้าภาษาเก่าเรียกว่า 'ชายแดน' ก่อนที่ผมจะไปเป็นนักเขียนการ์ตูน เป็นช่างเขียนสติ๊กเกอร์ ที่ติดตามท้ายรถสิบล้อ พวกรักเมียหลวงห่วงเมียน้อย หน้าติดถังหลังติดนม หลังจากอยู่ขายหัวเราะมาสักระยะหนึ่ง นึกอยากเป็นนักแต่งเพลง ผมก็เล็งไปเลยแกรมมี่ฯ เป็นความทะเยอทะยาน ของคนยุคพวกผม ก็มีแต่งให้ ศิริพร อำไพพงษ์ พี สะเดิด ดวงจันทร์ สุวรรณี เพลงประกอบละคร ญาญ่าหญิง ก็ร้อง"  

เสียง ‘คนชายแดน’ สงคราม สนามอารมณ์ ‘ไม่ขำ’ เหมือนการ์ตูน

เลือดนักรบแห่งช่องบก

ก่อนที่จะมาหยิบหมึกจับปากกาสร้างความครื้นเครงให้กับผู้อ่านและผู้ฟัง เขาเคยถือปืนยืนประจันหน้ากับผู้รุกราน เลือดแลกเลือด หัวใจหนุ่มกลัดมันพร้อมพลีกายปกป้องชาติไทย

"ก่อนหน้าที่จะเป็นนักเขียนการ์ตูน ผมเป็นทหารเกณฑ์ ที่ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ สมัครไปรบเลือดรักชาติมันแรง เพราะในปี 2529 เกิดปัญหาชายแดน อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี"

เขารับการฝึกก่อนออกศึกเป็นเวลาราว 1 ปี 13 เมษายน 2530 ใครหลายคนกำลังสาดน้ำเฮฮา แต่ชะตาของพลทหารอ๋อนผู้มีหมายเลขประจำตัว ‘1297100169’ พร้อมเพื่อนร่วมรบ กำลังเดินทางเข้าสู่ ‘สงกรานต์เลือด’ ที่ช่องบก สรรพกำลังเต็มรูปแบบจากทุกหมู่เหล่า กรีฑาทัพเข้าไปยังแนวหน้า เพื่อเข้าตีข้าศึกที่รุกราน 

"ถ้าเรานับเวลาน่าจะ 37-38 ปี ที่แล้ว เป็นการรบเต็มรูปแบบนะ ทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ นาวิกโยธิน พลร่ม จะร่วมรบกันหมด รถถัง เครื่องบิน อัดกันแบบ เหมือนในหนัง ภารกิจคือ เพื่อแย่งยึดหรือรักษาพื้นที่จนถึงขั้นแตกหัก"

เสียง ‘คนชายแดน’ สงคราม สนามอารมณ์ ‘ไม่ขำ’ เหมือนการ์ตูน

กลิ่นคาวเลือดยังอบอวลในมวลทรงจำ

เป็นเวลากว่า 1 ปีในสมรภูมิ สิ่งที่เขาจดจำได้ดี ในปีนั้นทหารฝ่ายไทยสูญเสีย 109 ศพ บาดเจ็บร่วม 600 นาย กลิ่นคาวเลือด เศษซากแขนขาหรือลำไส้ที่กระจัดกระจาย ความหิวโหย ความลำบาก ล้วนเป็นภาพหลอนที่ฝังในใจ 

"เหยียบกับระเบิดบ้าง ปืนใหญ่ที่ยิงใส่กันบ้าง เนิน 500 เราตีอยู่เป็นปีไม่ได้ ต้องเอาเอฟ 16 ไม่ทิ้งระเบิดถึงยึดได้ ตอนนั้นเราไม่ได้รบกับเขมรนะ รบกับเวียดนาม ตอนแรกเราจะไม่ได้เคลียร์อะไรหรอก เพราะมันต่างคนก็ต่างลุย แต่หลังจากนั้นเราจะแย่งศพกัน 2 เขาก็ต้องมาเอาทหารเขากลับ เราก็ไปเอาของเรากลับ ตอนนี้แหละจะได้กลิ่นคาวเลือด เห็นไส้ขึ้นไปอยู่บนก่อไผ่ มันไม่ใช่แค่รบ มันทั้งหิว ทั้งเหนื่อย ทั้งเหงา คือ ทุกอย่างของความหฤโหด ที่นอนไม่มี น้ำท่วม ชุดเดียวเปียกอยู่นั่น ปืนเอ็ม 16 เอาปลายกระบอกลง กลัวน้ำเข้า กลัวยิงไม่ได้ เสียงปืนทั้งวันทั้งคืน มันโหดมาก แล้วแต่ละวินาทีกว่ามันจะผ่าน" 

แม้ปลดประจำการเป็นทหารผ่านฝึก แต่ความโหดร้ายของสงครามยังเวียนวน เสียงระเบิดอันอื้ออึง เสียงหวีดร้องของปืนใหญ่ เลือดที่หยดไหลในสมรภูมิ ยังคงไม่จางหายในชั่วขณะ ภาพซ้ำยังไหลย้อนหมุนกลับมาตามหลอน 

"ลองคิดดู ตอนรบมีหัวขาดกระเด็นลงมา ผมปลดใหม่ๆ นอนกลางวัน แล้วยางมันระเบิด สะดุ้งลุกขึ้นจะวิ่งอย่างเดียว แม่ก็ดึงไว้เอามากอดไว้ หลอนขนาดนั้น แล้วก็นั่งอยู่คนเดียว นั่งจ้องอยู่คนเดียว นั่งอยู่เป็นชั่วโมงอยู่ที่เดิม ผมปลดทหาร ดูหนังสงครามพลาทูนไม่จบเรื่อง ตอนรบมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวนะ มันเป็นเรื่องต้องเอาชนะ เราต้องทำให้ได้ แต่หลังจากที่เหตุการณ์สงบ แล้วอยู่มาสักระยะ ภาพนั้นมันจะกลับมา ก่อนปลดเขาให้ไปอยู่ศูนย์พักฟื้นบางปูใหม่ ก่อนส่งไปพักฟื้นอยู่หัวหิน ถึงได้กลับมา ก็เป็นบ้าหลายคนนะ" 

เสียง ‘คนชายแดน’ สงคราม สนามอารมณ์ ‘ไม่ขำ’ เหมือนการ์ตูน

คนชายแดนไม่ปรารถนาสงคราม

แม้มีเส้นแบ่งของเทือกเขาพนมดงรัก แต่อ๋อนยืนยันว่าชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่สองฟากฝั่งไม่ได้มีปัญหากัน จากอดีตจนถึงปัจจุบันเขายังเป็นมิตรที่ดี มีภาษาพูดเหมือนกัน คนไทยพูดเขมร คนเขมรพูดไทย เขาไม่ได้มองกันเป็นศัตรูเหมือนผู้คนที่ยุยงกันในโซเชียลมีเดีย 

"เปิดด่านให้หน่อยห้านาที สิบนาทีก็ได้ จะไปซื้อของ นึกดูสิหัวอกคนมันหิว ขอน้ำปลาสักขวด ขอข้าวสักสองสามกิโลฯ เพื่อกินให้ถึงพรุ่งนี้ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่คนในกรุงเทพฯ หรือคนในเมืองใหญ่จะไม่เข้าใจ คิดว่ารบชนะแล้วก็จบ มันไม่ใช่" 

"เขาไม่ได้ทะเลาะกันเหมือนในโซเชียลด่ากัน คนที่อยากให้รบกัน ส่วนมากไม่ได้อยู่แถวนั้นนะ นู่นอยู่ข้างใน โดยที่ไม่สนคนพื้นที่แถวนั้นเขาคิดอย่างไร เขาเอากับข้าวยื่นให้กันข้ามรั้ว เขาอยู่ด้วยกัน เขาเป็นเพื่อนบ้านกัน ช่องบกเป็นช่องระหว่างภูเขาสองลูก สมัยก่อนเขาใช้เกวียนขึ้นมาทางนี้ ค้าขายกันระหว่างพรมแดน ชาวบ้านแถวนี้เขาไม่ได้มีปัญหากัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็ใส่เกวียนลากขึ้นมา เป็นไข้มาลาเรีย เอามาส่งโรงพยาบาลนาจหลวยมันจะใกล้กว่า หรือจะไปทางน้ำยืน ทั้งเขมร และลาวก็จะมารักษาอยู่บ้านเรา นี่สิ่งหนึ่งที่เขาเรียกว่ามนุษยธรรม ถึงจะรบกันอุ้มเข้ามาคนไทยก็ยังดูแล"

จากชายผู้เคยเผชิญกับความเป็นความตาย การอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดมันไม่ใช่เรื่องสนุกเหมือน ‘มุขสามแก๊ก’ สงครามมีแต่ความสูญเสีย ทิ้งไว้เพียงเศษซากปรักหักพัง ใครบางคนที่ตายไปอาจเป็นหัวหน้าครอบครัว ใครบางที่โดนปืนใหญ่อาจเป็นแม่ของใครสักคนที่กำลังหาเงินส่งให้ลูกไปเล่าเรียน 

"สงครามถ้าคนที่ไม่เคยสัมผัส คือ ไม่เคยอยู่ ไม่เคยรบ จะไม่รู้ว่ามันไม่เหมือนเราดูหนังนะ ไม่สนุก ไม่ได้เหมือนเราอ่านการ์ตูน ไม่ได้เหมือนเราเล่นเกม เพราะเรารีเซ็ตใหม่ก็ได้ คุณรู้ไหมว่าบาดเจ็บแต่ละครั้ง หอบกันลงมาใช้เวลาเท่าไหร่ ขาขาดกว่าจะเอาลงจากเขาได้  สงครามไม่มีอะไรดีเลย ถึงเราจะชนะมันจะมีประโยชน์อะไร ไปยืนอยู่บนซากปรักหักพัง ยืนอยู่บนกองศพ ยืนอยู่บนหัวกะโหลก"

"สงครามทุกสงครามในโลกนี้ จบได้ด้วยการเจรจา ต่อให้รบกันมาเป็นสิบปี หรือรบกันแค่วันสองวัน มันจะจบด้วยการเจรจา" แม้เข้าใจดีว่า เมื่อถึงที่สุดจริงๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของแต่ละประเทศ คือ "ต้องรบ" แต่อดีตพลทหารรบสมรภูมิช่องบก ก็ยังอยากเห็นสันติภาพมากกว่าสงคราม

related