SHORT CUT
ลัทธิ ฮุน เซน อำนาจนิยมเบ็ดเสร็จ ในกัมพูชา สร้างผ่านการหักหลัง, ยึดกลไกรัฐ และสืบทอดอำนาจสายเลือด สู่เปลือกนอกประชาธิปไตยที่ว่างเปล่า
สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ไม่ได้เป็นเพียงผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แต่ยังเป็นสถาปนิกผู้สร้างระบอบอำนาจนิยมที่ทนทานและซับซ้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การครองอำนาจเกือบสี่ทศวรรษของเขาเป็นกรณีศึกษาชั้นเยี่ยมว่าด้วยการรื้อถอนศักยภาพของระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ ผ่านการหักหลังพันธมิตรทางการเมือง ผลการเลือกตั้ง และหลักการแห่งรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า ณ ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
เส้นทางสู่อำนาจของฮุน เซน เริ่มต้นจากการเป็นผู้บัญชาการกองพันในสมัยเขมรแดง ก่อนที่จะแปรพักตร์ไปเข้ากับเวียดนามในปี 2520 และกลับเข้าสู่กัมพูชาพร้อมกับกองทัพเวียดนามที่โค่นล้มระบอบพล พต ในปี 2522 เขาได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลที่เวียดนามหนุนหลังให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยวัยเพียง 26 ปี และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2528 ประสบการณ์ในช่วงต้นชีวิต ทั้งจากการต่อสู้ด้วยอาวุธและการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ ได้หล่อหลอมยุทธศาสตร์ทางการเมืองของเขา ซึ่งโดดเด่นด้วยความเฉียบแหลมในการอ่านเกมอำนาจ และความพร้อมที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจไว้
เส้นทางทางการเมืองของฮุน เซน เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาเข้าร่วมกับขบวนการเขมรแดงในวัย 18 ปี หลังจากนายพลลอน นอล ทำรัฐประหารโค่นล้มสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ในปี 2513 เขาไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนได้เป็นผู้บัญชาการกองพันในช่วงที่เขมรแดงเข้ายึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จในปี 2518 อย่างไรก็ตาม ภายในระบอบที่โหดเหี้ยมนี้เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและการกวาดล้างภายในอย่างนองเลือด
ในปี 2520 ระบอบเขมรแดงได้เริ่มการกวาดล้างภายในครั้งใหญ่ สมาชิกพรรคจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูและถูกกำจัดทิ้ง ฮุน เซน ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้บังคับการกองพัน ตระหนักดีว่าตนเองอาจกลายเป็นเป้าหมายรายต่อไป เขาจึงตัดสินใจเลือกหนทางที่จะรักษาชีวิตของตนเองไว้ เขาและเพื่อนทหารจำนวนหนึ่งได้หลบหนีออกจากฐานที่มั่นในจังหวัดตโบงฆมุม ข้ามชายแดนไปยังประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของระบอบเขมรแดงในขณะนั้น
การแปรพักตร์ครั้งนี้ถือเป็นการหักหลังอุดมการณ์และสหายร่วมรบในขบวนการเขมรแดงอย่างสิ้นเชิง แต่มันคือการเดิมพันที่ส่งผลชี้ขาดต่ออนาคตของเขา ฮุน เซน ได้เสนอตัวเข้าร่วมกับเวียดนามเพื่อจัดตั้งแนวร่วมปลดปล่อยชาติกัมพูชา สองปีต่อมา ในปี 2522 เขาก็ได้กลับเข้าสู่กัมพูชาอีกครั้ง แต่ในฐานะส่วนหนึ่งของกองทัพเวียดนามที่บุกเข้าโค่นล้มระบอบพล พต การกระทำครั้งนี้ได้เปลี่ยนสถานะของเขาจากผู้บัญชาการในระบอบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มาเป็นผู้ปลดปล่อยในสายตาของเวียดนามและรัฐบาลหุ่นเชิดที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่ เขาได้รับการตอบแทนด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยวัยเพียง 26 ปี ซึ่งเป็นการปูทางให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา การหักหลังครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดและความสามารถในการประเมินสถานการณ์อำนาจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาในเวลาต่อมา
หลังจากที่เวียดนามโค่นล้มเขมรแดงและจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาขึ้นในปี 2522 ฮุน เซน ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ และก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2528 ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากฮานอย อย่างไรก็ตาม การมีเวียดนามหนุนหลังก็เปรียบเสมือนดาบสองคม มันทำให้เขามีอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาถูกโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมเขมรสามฝ่าย ว่าเป็นเพียง "หุ่นเชิด" ของเวียดนาม และยอมเสียดินแดนให้แก่เพื่อนบ้านเพื่อแลกกับอำนาจ ข้อกล่าวหานี้ได้บั่นทอนความชอบธรรมของเขาในหมู่ประชาชนกัมพูชาที่มีความรู้สึกชาตินิยมและระแวงเวียดนามเป็นทุนเดิม
เมื่อสถานการณ์โลกและภูมิภาคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะหลังการลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส ฮุน เซน ตระหนักว่าการพึ่งพาเวียดนามเพียงอย่างเดียวไม่ใช่วิถีทางที่ยั่งยืนอีกต่อไป เขาเริ่มดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เปลี่ยนทิศทางอย่างมีนัยสำคัญ โดยหันไปสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับมหาอำนาจใหม่อย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน การเลือกจีนเป็นพันธมิตรใหม่ถือเป็นกลยุทธ์ที่แยบยล เพราะจีนไม่เพียงแต่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังผงาดขึ้นมา แต่ยังเป็นคู่ขัดแย้งกับเวียดนามในประเด็นทะเลจีนใต้อีกด้วย
การหันไปจับมือกับจีนทำให้ฮุน เซน สามารถสลัดภาพ "เด็กในคาถาของเวียดนาม" ออกไปได้สำเร็จ เขาสามารถสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำที่เป็นอิสระและดำเนินนโยบายเพื่อผลประโยชน์ของชาติกัมพูชาเอง การสนับสนุนทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมหาศาลจากจีนได้เข้ามาแทนที่อิทธิพลของเวียดนาม และกลายเป็นหลักประกันที่มั่นคงยิ่งกว่าในการรักษาอำนาจของเขา การหักหลังผู้มีพระคุณเดิมอย่างเวียดนามในครั้งนี้ ไม่ได้ทำอย่างโจ่งแจ้งเหมือนครั้งอื่นๆ แต่เป็นการค่อยๆ ตีตัวออกห่างและสร้างสมดุลแห่งอำนาจขึ้นมาใหม่ มันแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและอ่านเกมการเมืองระหว่างประเทศของฮุน เซน ที่พร้อมจะเปลี่ยนความภักดีได้เสมอ หากมันจะช่วยเสริมสร้างฐานอำนาจของตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เพื่อยุติสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ ประชาคมระหว่างประเทศได้ผลักดันให้เกิดข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 2534 นำไปสู่การจัดตั้งองค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในกัมพูชา (United Nations Transitional Authority in Cambodia หรือ UNTAC) ภารกิจหลักของ UNTAC คือการฟื้นฟูสันติภาพ สร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือการจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นรุ่งอรุณแห่งยุคประชาธิปไตยครั้งใหม่ของชาติที่บอบช้ำจากสงคราม บริบทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการชี้ให้เห็นว่าการกระทำของฮุน เซน ในเวลาต่อมา คือการปฏิเสธฉันทามติของทั้งประชาชาติและประชาคมโลกอย่างสิ้นเชิง
การเลือกตั้งในปี 2536 ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มีชาวกัมพูชากว่า 4 ล้านคนออกมาใช้สิทธิ ผลปรากฏว่าพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ซึ่งเป็นพรรคแนวนิยมเจ้า นำโดยสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน โดยได้คะแนนเสียงไป 45.5% คิดเป็น 58 ที่นั่งในสภา ขณะที่พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party หรือ CPP) ของฮุน เซน ได้ไป 38.2% หรือ 51 ที่นั่ง
แทนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้และส่งมอบอำนาจตามวิถีทางประชาธิปไตย ฮุน เซนกลับปฏิเสธผลการเลือกตั้งในทันที เขาสร้างวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ขู่ว่าจะก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหม่ ผ่าน "ขบวนการแบ่งแยกดินแดนปลอมๆ" กลยุทธ์นี้จี้ไปที่จุดอ่อนและบาดแผลที่ลึกที่สุดของชาวกัมพูชาและประชาคมโลก ซึ่งต่างหวาดกลัวการหวนคืนสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาล พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ได้ทรงเข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด แต่ข้อเสนอของพระองค์ในการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลก็ถูกปฏิเสธในตอนแรกโดยเจ้ารณฤทธิ์และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงบีบคั้นมหาศาลที่กำลังเกิดขึ้น
วิกฤตการณ์ครั้งนี้จบลงด้วยสูตรการแบ่งปันอำนาจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนและแปลกประหลาดในทางรัฐธรรมนูญ นั่นคือ รัฐบาลผสมที่มีนายกรัฐมนตรีถึงสองคน สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง และฮุน เซน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่สอง
ผลลัพธ์นี้ถือเป็นการหักหลังครั้งใหญ่ครั้งแรก แม้ว่าพรรคฟุนซินเปกจะได้ตำแหน่ง "นายกฯ ที่หนึ่ง" แต่โครงสร้างรัฐบาลเช่นนี้กลับเปิดทางให้พรรค CPP ภายใต้การนำของฮุน เซน ยังคงกุมอำนาจควบคุมกลไกที่สำคัญของรัฐไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังความมั่นคงและตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ผู้ชนะการเลือกตั้งถูกบีบให้ต้องร่วมมือกับผู้แพ้ในลักษณะที่ทำให้ชัยชนะของตนเองถูกลบล้างไปแทบจะในทันที
เหตุการณ์ในปี 2536 ได้วางรากฐานสำคัญของสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น "ลัทธิฮุน เซน" นั่นคือ การใช้การข่มขู่ด้วยกำลังเพื่อล้มล้างผลลัพธ์ทางประชาธิปไตย มันคือการทดสอบปณิธานของประชาคมโลก ซึ่งผลลัพธ์ก็คือฮุน เซนเป็นฝ่ายชนะ เขาสังเกตเห็นว่าความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับและขู่ว่าจะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ประชาคมโลกและพระมหากษัตริย์ซึ่งให้ความสำคัญกับเสถียรภาพมากกว่าอาณัติแห่งประชาธิปไตย จึงยอมอ่อนข้อและบีบให้เกิดการประนีประนอม ฮุน เซนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ความกลัวต่อความไร้เสถียรภาพเป็นเครื่องมือที่มีพลังมากกว่าหลักการประชาธิปไตย เขาสามารถสร้างวิกฤตแล้ววางตำแหน่งตนเองเป็นผู้เดียวที่สามารถแก้ไขวิกฤตนั้นได้ตามเงื่อนไขของเขาเอง เหตุการณ์นี้ได้สร้าง "ภยันตรายทางศีลธรรม" (Moral Hazard) ให้กับการเมืองกัมพูชา เป็นการส่งสัญญาณไปยังฝ่ายค้านในอนาคตว่าการชนะเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ชัยชนะใดๆ ล้วนเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวและสามารถถูกต่อรองใหม่ได้ภายใต้การข่มขู่ด้วยกำลัง มันบ่อนทำลายคุณค่าของบัตรลงคะแนนเสียงอย่างถึงราก และปูทางไปสู่การเผชิญหน้าครั้งต่อไปที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
รัฐบาล "สองหัว" ที่ถือกำเนิดขึ้นจากภาวะจำยอมนั้น โดยเนื้อแท้แล้วไร้เสถียรภาพ ความตึงเครียดได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทั้งสองพรรคต่างช่วงชิงอำนาจและพยายามดึงกำลังพลเขมรแดงที่ยังหลงเหลืออยู่เข้ามาเป็นพันธมิตรของตน ข้ออ้างที่ฮุน เซน ใช้ในการก่อรัฐประหารคือการกล่าวหาว่าสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ กำลังวางแผนยึดอำนาจโดยลักลอบนำกองกำลังเขมรแดงเข้ามาในเมืองหลวง แม้ว่าในความเป็นจริงเจ้ารณฤทธิ์กำลังเจรจากับผู้นำเขมรแดงบางกลุ่มอยู่จริง แต่ฮุน เซน ก็ใช้ประเด็นนี้เพื่อสร้างภาพว่าคู่แข่งของเขาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
รัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นได้โดยอาศัยกองกำลังที่ภักดีต่อตัวฮุน เซน เป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะหน่วยองครักษ์ส่วนตัวของเขา (กองพลน้อย 70) และกรมพลร่ม 911 ซึ่งเขาได้สร้างสมกำลังขึ้นมาอย่างเป็นระบบหลังจากรอดพ้นจากความพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2537 ซึ่งกระทำโดยคนในพรรค CPP เอง เหตุการณ์ครั้งนั้นสอนให้เขารู้ว่าเขาไม่สามารถไว้วางใจกลไกของพรรคเพื่อความปลอดภัยส่วนตัวได้
ผลลัพธ์คือความพ่ายแพ้ทางทหารอย่างย่อยยับของกองกำลังพรรคฟุนซินเปก สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ถูกโค่นล้มและต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เหตุการณ์หลังจากนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่และนายทหารของพรรคฟุนซินเปกอย่างน้อย 40 คน และอาจสูงถึงกว่า 100 คน ถูกสังหารอย่างรวบรัดและไม่เป็นทางการ (Summary Execution) บางรายถูกทรมานก่อนเสียชีวิต ปฏิบัติการกวาดล้างอย่างเหี้ยมโหดนี้เป็นการตัดหัวผู้นำพรรคและทำลายศักยภาพทางทหารของฝ่ายนิยมเจ้าอย่างสิ้นซาก
จากนั้น ฮุน เซน ได้แต่งตั้งอึง ฮวด ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคฟุนซินเปกที่ยอมอ่อนน้อม ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งแทน เป็นเพียงหุ่นเชิดที่มียศแต่ไร้อำนาจที่แท้จริง ท้ายที่สุด ฮุน เซน ก็ได้ผงาดขึ้นเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียวของกัมพูชา
รัฐประหารปี 2540 ถือเป็นวิวัฒนาการในยุทธศาสตร์ของฮุน เซน จากการบ่อนทำลายทางการเมืองไปสู่การใช้ความรุนแรงของรัฐเพื่อกำจัดคู่แข่งอย่างเป็นรูปธรรม เขาสาธิตให้เห็นถึงความตั้งใจและความสามารถในการใช้กองทัพส่วนตัวเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง แม้กระทั่งขัดต่อความต้องการของผู้นำระดับสูงในพรรคของตนเอง นี่คือช่วงเวลาที่อำนาจส่วนบุคคลของฮุน เซน ได้ก้าวข้ามอำนาจของสถาบันพรรค CPP เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าอำนาจสูงสุดในกัมพูชาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ, ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือแม้แต่คณะกรรมการบริหารของพรรค แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ควบคุมกองกำลังที่ภักดีที่สุดในพนมเปญ และคนๆ นั้นก็คือเขา การรัฐประหารครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวต่อทุกองคาพยพทางการเมือง มันได้ขีดเส้นสีแดงเส้นใหม่ที่โหดเหี้ยมขึ้นมาว่า ความท้าทายใดๆ ที่ฮุน เซน มองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของอำนาจเขา จะถูกตอบโต้ด้วยกำลังถึงชีวิต และเสียงประณามจากนานาชาติก็จะถูกเพิกเฉย มันได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองจากระบอบประชาธิปไตยที่บกพร่องไปสู่ระบอบเผด็จการที่ชัดเจน ซึ่งกฎกติกาต่างๆ ถูกกำหนดขึ้นโดยคนเพียงคนเดียว
หลังจากที่ฝ่ายค้านแตกแยกกันมานานหลายปี การก่อตั้งพรรคสงเคราะห์ชาติ (Cambodia National Rescue Party หรือ CNRP) ได้สร้างคู่แข่งที่น่ากลัวขึ้นมา พรรค CNRP ซึ่งนำโดยสม รังสี และเขม โสกา ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในการเลือกตั้งระดับชาติปี 2556 และการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น (เลือกตั้งคอมมูน) ในปี 2560 โดยสามารถกวาดคะแนนเสียงเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ และแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2561 ได้อย่างชัดเจน นี่คือภัยคุกคามทางการเมืองผ่านคูหาเลือกตั้งที่ร้ายแรงที่สุดที่ฮุน เซน เคยเผชิญนับตั้งแต่ปี 2536
เมื่อต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ในการเลือกตั้ง ยุทธศาสตร์ของฮุน เซน ก็ได้พัฒนาไปอีกขั้น แทนที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจอย่างโจ่งแจ้ง เขากลับเลือกที่จะทำ "รัฐประหารโดยกระบวนการยุติธรรม" (Judicial Coup)
ข้ออ้าง: รัฐบาลได้สร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "การปฏิวัติสี" (Color Revolution) ที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล
"หลักฐาน": คดีที่ใช้เล่นงานพรรค CNRP ถูกสร้างขึ้นจากข้อกล่าวหาลอยๆ และมีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างชัดเจน โดยกล่าวหาว่านายเขม โสกา ผู้นำพรรค เป็นกบฏ หลักฐานชิ้นสำคัญที่ถูกนำมาใช้คือคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ต่อสาธารณะตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งในคลิปนั้นเขม โสกา เพียงแค่พูดถึงการวางยุทธศาสตร์ทางการเมืองโดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา แต่กลับถูกบิดเบือนว่าเป็นคำสารภาพในแผนการสมคบคิด องค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ ต่างชี้ว่าหลักฐานดังกล่าวไม่มีอยู่จริงและข้อกล่าวหาเป็นเรื่องที่กุขึ้น
กลไก: รัฐสภาที่พรรค CPP ครองเสียงข้างมาก ได้ผ่านกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับพรรคการเมืองอย่างรวบรัด ซึ่งให้อำนาจในการยุบพรรคการเมืองได้ด้วยเหตุผลที่คลุมเครือ จากนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ซึ่งมีประธานศาลคือดิตถ์ มุนตี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค CPP
ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ศาลฎีกาได้มีคำตัดสินตามที่คาดการณ์ไว้ คือให้ยุบพรรค CNRP และตัดสิทธิ์ทางการเมืองแก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค 118 คน ซึ่งรวมถึง สส. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เป็นเวลา 5 ปี
การกระทำครั้งนี้ถือเป็น "การทำลายล้างประชาธิปไตยจนสิ้นซาก" (Terminal Blow to Democracy) มันได้กำจัดคู่แข่งที่น่าเชื่อถือเพียงพรรคเดียวออกไปจากสนามการเมือง ทำให้กัมพูชากลายเป็นรัฐพรรคเดียวโดยพฤตินัย การเลือกตั้งระดับชาติในปี 2561 ที่ตามมาจึงกลายเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ซึ่งพรรค CPP กวาดที่นั่งในสภาไปทั้งหมด 125 ที่นั่ง อัตราบัตรเสียที่สูงถึง 8.6% ถูกมองว่าเป็นการประท้วงเงียบต่อการไร้ซึ่งทางเลือกของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การกำจัดภัยคุกคามทางการเมืองทั้งหมดนี้ได้เปิดทางโล่งให้กับฮุน เซน ในการวางแผนส่งมอบอำนาจอย่างราบรื่นให้กับบุตรชายของเขา คือนายฮุน มาเนต ในปี 2566
การยุบพรรคในปี 2560 แสดงให้เห็นถึงชุดเครื่องมือเผด็จการที่สมบูรณ์แบบของฮุน เซน เมื่อสามารถยึดกุมสถาบันของรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงอย่างเปิดเผยอีกต่อไป เขาสามารถใช้ เปลือกนอกของกฎหมาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับการทำรัฐประหาร การเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากการเลือกตั้งที่ไม่อาจเพิกเฉยได้ ประกอบกับข้อจำกัดที่ว่าการรัฐประหารแบบปี 2540 อาจนำมาซึ่งมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงกว่าเดิมในยุคปัจจุบัน ทำให้เขาเลือกใช้กลไกทางกฎหมายและตุลาการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคอย่างสมบูรณ์เพื่อกำจัดคู่แข่ง นี่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนสุดท้ายของการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ระบอบการปกครองไม่จำเป็นต้องอยู่นอกระบบอีกต่อไป แต่ได้กลืนกินและกลายเป็นตัวระบบเสียเอง กฎหมายไม่ได้เป็นเครื่องจำกัดอำนาจ แต่เป็นเครื่องมือของอำนาจ "รัฐประหารโดยกระบวนการยุติธรรม" นี้มีความแยบยลและอันตรายยิ่งกว่ารัฐประหารโดยใช้กำลังทหาร เพราะมันซ่อนเร้นการใช้อำนาจดิบไว้ภายใต้ฉากหน้าของกระบวนการทางกฎหมาย การกระทำครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการหักหลังพรรคการเมืองฝ่ายค้าน แต่เป็นการหักหลังรากฐานของรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรค และเป็นการส่งสารว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองจะได้รับอนุญาตตราบเท่าที่ยังอยู่ในขอบเขตที่พรรค CPP กำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือการสืบทอดอำนาจทางสายเลือดที่มั่นคงและคาดเดาได้ เปลี่ยนการปกครองรัฐให้กลายเป็นเรื่องของวงศ์ตระกูล
ลัทธิฮุน เซน พิมพ์เขียวเพื่อความยั่งยืนของระบอบอำนาจนิยม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 5 ครั้งเราสามารถถอดรหัสออกมาได้ 4 เสาหลักสำคัญค้ำยันอำนาจฮุนเซนได้ดังต่อไปนี้
Human Rights Watch และ Freedom House อธิบายว่า หัวใจสำคัญของอำนาจ ฮุน เซน คือการใช้ความรุนแรงหรือการข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือตัดสินข้อพิพาททางการเมืองขั้นสุดท้ายเสมอ ตั้งแต่การขู่แบ่งแยกดินแดนในปี 2536, การใช้หน่วยสังหารในปี 2540, ไปจนถึงการคุกคามนักกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง กำลังบังคับยังคงเป็นรากฐานที่ค้ำจุนอำนาจของเขาเอาไว้
Human Rights Watch แจงให้เห็นว่า ฮุน เซน ได้เปลี่ยนแปลงสถาบันของรัฐทั้งหมดอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ, ตำรวจ, ศาล, คณะกรรมการการเลือกตั้ง และระบบราชการ ให้กลายเป็นเครื่องมือรับใช้พรรคและอำนาจส่วนตัวของเขา การยึดกุมรัฐอย่างเบ็ดเสร็จนี้เองที่ทำให้ "รัฐประหารโดยกระบวนการยุติธรรม" ในปี 2560 สามารถเกิดขึ้นได้
สมลักษณ์ ศรีราม และ ดร.อุดมพร ธีระวิริยะกุล อธิบายว่า เพื่อรักษาเสถียรภาพภายในพรรคและกลุ่มผู้มีอำนาจ ฮุน เซน ได้สร้างระบบอุปถัมภ์ขนาดใหญ่ขึ้นมา เขาเปิดโอกาสให้ชนชั้นนำในพรรค CPP สามารถสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง และที่สำคัญคืออนุญาตให้พวกเขาส่งต่อตำแหน่งและทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังทายาทของตนได้ สิ่งนี้สร้างผลประโยชน์ร่วมกันในการรักษาระบอบการปกครองให้คงอยู่ และทำให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจในหมู่ชนชั้นนำเป็นไปอย่างราบรื่นจากรุ่นสู่รุ่น
Matthew Galway อธิบายว่า ฮุน เซน ใช้ มิติของ "อำนาจอ่อน" (Soft Power) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างเรื่องเล่าสาธารณะที่ทรงพลังเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองของตน ซึ่งประกอบด้วย
การสร้างตำนานให้ตนเอง (Self-Mythologizing): สมลักษณ์ ศรีราม และ ดร.อุดมพร ธีระวิริยะกุล ชี้ให้เห็นว่า การนำเสนอภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะผู้กอบกู้ชาติที่ยุติยุคเขมรแดง และนำพาสันติภาพกับเสถียรภาพกลับคืนมาสู่ประเทศหลังสงครามที่ยาวนาน
ความชอบธรรมจากผลงาน (Performance Legitimacy): โดย Matthew Galway อธิบายให้เห็นว่า การชี้ให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของกัมพูชา เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพในการเป็นผู้นำ แม้ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่กับคนบางกลุ่มก็ตาม
การอ้างอิงถึงขนบธรรมเนียมประเพณี (Appeals to Tradition): การใช้สัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์และศาสนาพุทธเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตนเองให้เป็นผู้ปกครองที่ทรงธรรม (บารมี หรือ Pāramī) เป็นเสมือนกษัตริย์ในยุคสมัยใหม่ที่อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง
การควบคุมข้อมูลและเยาวชน (Control of Information and Youth): การทำลายสื่ออิสระอย่างเป็นระบบ, การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ, และการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาของชาติเพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ของพรรค CPP และยับยั้งการคิดเชิงวิพากษ์ในหมู่เยาวชน
การหักหลังครั้งสำคัญทั้งห้าครั้งที่ได้วิเคราะห์ไปนั้น ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นลำดับขั้นตอนที่ถูกวางแผนมาอย่างดีและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ฮุน เซน สามารถครองอำนาจได้อย่างยาวนานและบรรลุเป้าหมายสูงสุดของเขาได้
มรดกที่ยั่งยืนจากการปกครองของฮุน เซน ไม่ใช่เพียงแค่การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวนาน แต่คือการสร้าง "เปลือกนอกที่ว่างเปล่า" ของระบอบประชาธิปไตย ที่ซึ่งการเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยไร้ซึ่งทางเลือก, ศาลตัดสินโดยปราศจากความยุติธรรม, และอำนาจถูกส่งต่อโดยสายเลือด ไม่ใช่โดยคะแนนเสียงจากประชาชน
การส่งมอบอำนาจอย่างราบรื่นให้กับบุตรชาย ฮุน มาเนต ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2566 คือบทพิสูจน์สุดท้ายแห่งความสำเร็จในโครงการตลอดชีวิตของเขา มันคือหลักฐานที่ยืนยันว่าโครงการตลอดหลายทศวรรษเพื่อลบล้างฝ่ายค้านและยึดกุมรัฐนั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มรดกที่เขาทิ้งไว้คือระบอบอำนาจนิยมแบบสืบทอดทางสายเลือดที่หยั่งรากลึก มีเสถียรภาพ และคาดเดาได้ ซึ่งจะยังคงเป็นตัวกำหนดภูมิทัศน์ทางการเมืองของกัมพูชาต่อไปในอนาคตอันใกล้ ขณะที่ตัวของฮุน เซน เองก็ยังคงกุมอำนาจที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังในฐานะประธานพฤฒสภาและประธานพรรคประชาชนกัมพูชา