svasdssvasds

จริงไหม? มนุษย์ฮอบบิทยังมีชีวิตและแอบซ่อนตัวอยู่ที่อินโดนีเซีย

จริงไหม? มนุษย์ฮอบบิทยังมีชีวิตและแอบซ่อนตัวอยู่ที่อินโดนีเซีย

ชวนอ่านการอภิปรายวิเคราะห์สปีชีส์มนุษย์ลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ ฮอบบิท จากนักมานุษยวิทยาว่าในปัจจุบันเป็นไปได้ไหม ฮอบบิทจะยังมีชีวิตและอยู่ร่วมกับมนุษย์ยุคใหม่

เมื่อพูดถึงฮอบบิท หลายคนอาจจะนึกถึงหนังเรื่อง Hobbit หรือ Lord of the ring เรื่องราวของมนุษย์ตัวเล็กๆที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านและบ้านที่รูปร่างกระทัดรัด เจาะโพรงทำประตูตรงหน้าดิน อาศัยอยู่ภายในโพรงที่ตกแต่งเหมือนบ้าน พร้อมของประดับจิ๋วมากมาย แต่การมีอยู่ของมนุษย์ที่มีรูปร่างแบบนั้นเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เมื่อหลายแสนปีก่อน ตามประวัติศาสตร์หรือวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งสามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หนังสือตระกูล Sapiens

แต่บทความนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับมนุษย์ตัวเล็กดังกล่าว หรือเรารู้จักพวกเขาในชื่อ 'ฮอบบิท' เพราะมีนักมานุษยวิทยาคนหนึ่งได้ออกมาวิเคราะห์ความเชื่อของเขาว่า ในประเทศอินโดนีเซียอาจจะยังคงมีมนุษย์ฮอบบิท อาศัยอยู่แบบหลบๆซ่อนๆในป่าลึก ซึ่งเขาจะวิเคราะห์และมีการโต้เถียงอย่างไรบ้างนั้น มาดูกัน

็H.floresiensis หรือ Hobbit Cr.AP

มนุษย์ฮอบบิทในอินโดนีเซีย

เมื่อประมาณ 700,000 ปีก่อนถึง 60,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ยุคแรกๆ ตัวเล็กๆคนหนึ่งได้เดินไปที่เกาะฟลอเรส ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย Homo floresiensis มีชื่อเล่นว่า ฮอบบิท เพราะเขาสูงเพียงประมาณ 3 ฟุต 6 นิ้ว (106 เซนติเมตร) เท่านั้น เขามีสมองที่เล็กแต่มีเท้าขนาดใหญ่ ช่ำชองด้านการประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาพัฒนาการมาจากที่ใด

นักมานุษยวิทยาคนหนึ่งกำลังโต้เถียงว่า ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่า H.floresiensis สูญพันธุ์ไปแล้วหรือยัง พวกเขาอาจยังอยู่รอดในยุคปัจจุบันก็ได้ ในหนังสือเล่มใหม่ของ Gregory Forth นักมานุษยวิทยาที่ได้เกษียณไปแล้วจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา ให้เหตุผลว่า รายงานของ “มนุษย์วานร” ในเมืองฟลอเรสอาจเป็นการพบเห็นบรรพบุรุษของมนุษย์ในสมัยโบราณ ซึ่งยังคงดำรงชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

ภาพอธิบายลักษณะของฮอบบิท Cr.www.bistecglobal.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“เราไม่รู้หรอกว่าสปีชีส์นี้สูญพันธุ์ไปเมื่อใด หรือฉันกล้าพูดได้เลยว่า เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันสูญพันธุ์ไปจริงๆหรือเปล่า ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้บางอย่างที่พวกเขาอาจมีชีวิตรอดอยู่”

จอห์น ฮอว์กส์ นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินเมดิสันกล่าวว่า “เกาะฟลอเรสเป็นเกาะที่ใกล้เคียงคอนเนตทิคัต (Connecticut-หนึ่งในรัฐของสหรัฐอเมริกา) และมีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 2 ล้านคนในปัจจุบัน ประชาชนได้กระจายตัวไปทั่วทั้งเกาะ จึงมีความเป็นไปได้”

“ตามความเป็นจริง ความคิดที่ว่ามีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นบนเกาะนี้ และอยู่รอดได้ในประชากรที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นั้นแทบจะเป็นศูนย์”

ญาติที่หายสาบสูญไปนาน

โฟร์ทได้เห็นต่างในเรื่องนี้ เขาทำงานภาคสนามเกี่ยวกับมานุษยวิทยาบนเกาะนี้มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1984 และตั้งแต่นั้นมาก็ได้ยินเรื่องเล่าในท้องถิ่นเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ขนดกและมีรูปร่างเหมือนมนุษย์อาศัยอยู่ในป่า เขาได้เขียนเรื่องเล่านี้ลงไปด้วยในงานวิจัยของเขา จนเมื่อปี 2003 H.floresiensis ถูกค้นพบ ก็เป็นตอนนั้นเองที่ทำให้เขาเชื่อมั่นในเรื่องนี้เข้าไปอีก

“ฉันได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กคล้ายๆกันเหล่านี้ในภูมิภาคที่เรียกว่า Lio ซึ่งกล่าวกันว่าสิ่งที่เราสงสัยกันนั้นยังมีชีวิตอยู่ และผู้คนต่างพูดถึงในสิ่งเดียวกัน”

ข้อความตอนหนึ่งที่เขายกมาพูด ซึ่งตัดตอนมาจากหนังสือเล่มใหม่ของเขา ความว่า "Between Ape and Human: An Anthropologist on the Trail of a Hidden Hominoid" (Pegasus Books, 2022) Forth

ซึ่งได้อธิบายถึงการสัมภาษณ์กับชายคนหนึ่งที่เล่าว่า เขาได้กำจัดซากศพของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เป็นลิง และก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วย สิ่งนั้นมีขนเป็นเส้นตรงสีอ่อนๆอยู่ที่ตัว มีจมูกเป็นสันที่พอดี และมีปลายหาง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาโฟร์ทได้รวบรวมเรื่องราวลักษณะนี้จากพยาน 30 ราย/เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตปริศนาที่ฟังดูคล้ายกับการอธิบายรูปร่างของ H.floresiensis

ขนาดของ H.floresiensis มีขนาดเล็กมากจนเล็กกว่ามังกรโคโมโดยักษ์ในอดีตกาลเสียอีก Cr.University College London แน่นอนว่ามีผู้เห็นเหตุการณ์มากมายเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลึกลับทั่วโลก เช่น Sasquatch ในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ (หรือก็คือ บิ๊กฟุต [Bigfoot]) และบริติชโคลัมเบีย มาร์ก คอลลาร์ด นักมานุษยวิทยาวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัยไซมอน เฟรเซอร์ในแคนาดาที่กล่าวว่า มนุษย์นั้นเชี่ยวชาญในการบอกเล่าเรื่องราวและส่งต่อความเชื่อเรื่องราวต่างๆได้อย่างง่ายดาย

โฟร์ทได้โต้แย้งว่า เรื่องราวของ “มนุษย์วานร” เหล่านี้ที่อยู่บนเกาะฟลอเรสแตกต่างจากเรื่องของบิ๊กฟุตในแปซิฟิก เพราะไม่เคยมีลิงที่ไม่ใช่มนุษย์ในอเมริกาเหนือ แต่ในเมืองฟลอเรสมี H.floresiensis จริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

แต่พวกเขาอยู่ได้นานแค่ไหน? นี่คือคำถามสำคัญ

กระดูกของ H.floresiensis ถูกค้นพบครั้งแรกในถ้ำเหลียงบัว (Liang Bua) บนเกาะฟลอเรสในปี 2003 หลักฐานที่อายุน้อยที่สุดของฮอบบิทที่ใช้งานถ้ำนี้มีอายุย้อนไปถึงเมื่อ 50,000 ปีก่อน อลิซาเบธ วีทช์ นักสัตววิทยาจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติสมิธโซเนียน (the Smithsonian National Museum of Natural History) ผู้ศึกษาสายพันธุ์กล่าวว่า มนุษย์สมัยใหม่ไม่ปรากฏบนเกาะฟลอเรสมานานแล้ว จนกระทั่งเมื่อ 47,000 ปีที่แล้ว และไม่มีหลักฐานว่าทั้ง 2 สายพันธุ์ซ้อนทับกันที่ถ้ำเหลียงบัว ในความเป็นจริง H.floresiensis ไม่ได้ใช้พื้นที่ตรงนี้มากนักหลังจากเมื่อ 60,000 ปีก่อน

“จากหลักฐานของบรรดาสัตว์ มีแนวโน้มว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 60,000 ปีก่อน ซึ่งทำให้ภูมิทัศน์รอบๆเหลียงบัวเปลี่ยนไป ทำให้ H.floresiensis อพยพไปที่อื่นบนเกาะเพื่อหาอาหารในแหล่งที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกว่า”

ในปี 2014 นักโบราณคดีได้ค้นพบสถานที่อีกแห่งบนฟลอเรสชื่อว่า Mata Menge ซึ่งพบขากรรไกรล่างและฟันจากซากดึกดำบรรพ์ของโฮมินินเมื่อประมาณ 700,000 ปีก่อน คิดว่ากระดูกเหล่านี้มาจากประชากรที่มีอายุมากกว่า H.floresiensis นอกจากนี้ยังพบเครื่องมือหินในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า H.floresiensis มีประวัติมายาวนานในฟลอเรส (ไม่พบสายพันธุ์นี้บนเกาะอื่น) แต่นักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดีไม่เห็นข้อบ่งชี้ว่า ฮอบบิทจะสามารถอาศัยควบคู่ไปกับมนุษย์สมัยใหม่ได้

เป็นไปได้ว่าพวกเขาสามารถทำได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และถ้าเป็นเช่นนั้น บางทีเรื่องราวในภูมิภาค Lio ของฟลอเรสอาจเป็นเพียงแค่ความทรงจำทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งมาก ยกตัวอย่างในออสเตรเลีย ชาวพื้นเมืองมีเรื่องราวที่สอดคล้องกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนอย่างชัดเจน รวมถึงการถล่มของดาวตก ซึ่งสิ่งนี้อาจคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฟลอเรส

“สิ่งที่เราอาจมีคือสถานการณ์ที่ H.floresiensis ยังคงอยู่ในตำนานที่ส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน เราเปลี่ยนสายพันธุ์ที่เราคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วในทางวิทยาศาสตร์ มันเกิดขึ้นได้ แต่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย มันไม่ใช่สิ่งที่จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนนัก” ทอมป์สันกล่าว ซึ่งเรื่องนี้เองที่คอลาร์เห็นด้วย “ฉันแค่คิดว่า เราต้องระวังให้มากเกี่ยวกับประวัติทางวาจา มันมีค่านะ แต่มันยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างแท้จริง”

บรรพบุรุษลึกลับ

เราไม่ได้หมายความว่า H.floresiensis ไม่ลึกลับหรอกนะ พื้นที่ 2 แห่งที่มีการค้นพบกระดูกและเครื่องมือจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุร่วมกันหลายร้อยหลายพันปี ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ทางประวัติศาสตร์ นักวิจัยทราบดีว่าฮอบบิทใช้ก้อนหินทำเป็นหินคมไว้ล่าสัตว์ เครื่องมือที่เหมือนมีดสามารถใช้ตัดต้นไม้หรือแล่เนื้อสัตว์ หรือแกะสลักเครื่องมืออื่นๆที่ทำจากไม้ได้ และเราก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า H.floresiensis ใช้ไฟในการล่าเหยื่อขนาดใหญ่ด้วยหรือไม่

บางทีคำถามที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับ H.floresiensis คือที่มาของสายพันธุ์ ตามหลักกายวิภาคแล้ว “ฮอบบิท” มีฟันคล้ายกับฟันของ Homo erectus และ Homo sapiens การปรากฏตัวของ H.floresiensis ในอินโดนีเซียเมื่อ 700,000 ถึง 800,000 ปีก่อนเกิดขึ้นก่อนการมาถึงของ Homo sapiens

อย่างไรก็ตาม H.erectus ออกจากแอฟริกาเมื่อ 1.8 ล้านปีก่อนและโผล่ขึ้นมาบนเกาะชวาในปัจจุบันก่อนที่ H.floresiensis จากบันทึกการค้นพบฟอสซิล สิ่งนี้ทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่ฮอบบิทจะสืบเชื้อสายมาจาก H.erectus และบางทีมันอาจจะมีวิวัฒนาการขนาดร่างกายที่เล็กลงอันเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตบนเกาะ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ‘คนแคระแกร็น’

แต่เรามีปัญหากับสมมติฐานประการหนึ่ง คือ H.erectus รอดชีวิตบนเกาะอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขนาดปกติ จนกระทั่งเมื่อประมาณ 115,000 ปีก่อน และมันคงจะแปลกดีที่กลุ่มคนแคระแกร็นจะเกิดขึ้นบนเกาะฟลอเรสเท่านั้น และก็ไม่มีปรากฎที่ไหนอีกเป็นเวลาหลายแสนปี

H.floresiensis มีลักษณะทางกายวิภาคหลายอย่างเช่น ไหล่และข้อมือ ซึ่งดูไม่เหมือนลูกพี่ลูกน้อง Homo หรือเหมือนกับบรรพบุรุษมนุษย์รุ่นก่อนๆ เช่น Australopithecus

หลักฐานทางกายวิภาคแสดงให้เห็นว่า H.floresiensis อาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ที่ออกจากแอฟริกาก่อน H.erectus เสียอีก หากเป้นเช่นนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีที่ระบุว่าบรรพบุรุษนั้นเป็นใครมาจากไหนหรือพวกเขาจากไปเมื่อไหร่

ไม่ว่าเรื่องราวของการเดินทางจะเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ H.floresiensis จิ๋วหรือบรรพบุรุษของเขาสามารถทำให้พวกเขาข้ามทวีปและน้ำมหาสมุทรเพื่อมาปักหลักอยู่ที่เกาะฟลอเรสได้ คล้ายกับหลักฐานของโฮมินินยุคแรกอื่นๆ เช่น Homo luzonensis ของฟิลิปปินส์ ซึ่งค้นพบในปี 2019 บนเกาะลูซอน ทำให้นักโบราณคดีเคยเชื่อว่าเป็นไปได้

ฟอสซิลฟันของ H.luzonensis หรือที่เรียกในท้องถิ่นว่า "Ubag" เป็นอีกสปีชีส์ของมนุษย์ที่สูญพันธุ์ไปแแล้ว พบฟอสซิลในประเทศฟิลิปปินส์ Cr. Sapiens.org ประชากรทับซ้อนกัน?

สิ่งที่นักวิจัยในต้นกำเนิดของมนุษย์กำลังเรียนรู้ก็คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชากรกลุ่มแรก ๆ ของ Homo นั้นซับซ้อนเป็นพิเศษ ตอนนี้เป็นความรู้ทั่วไปที่ Homo sapiens และ Neanderthals ผสมพันธุ์กัน และ DNA ของ Neanderthal ยังคงมีอยู่ในมนุษย์สมัยใหม่ มนุษย์ในโอเชียเนียและเอเชียตะวันออกยังผสมพันธุ์กับเดนิโซแวนบรรพบุรุษของมนุษย์อีกคนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก ฮอว์กส์กล่าวว่ายีนเดนิโซวานยังคงมีอยู่ในประชากรชาวอินโดนีเซียตะวันออกอย่างน่าทึ่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าญาติมนุษย์เหล่านี้อาศัยอยู่บนเกาะเหล่านี้ด้วย อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ไม่พบบันทึกฟอสซิลของเดนิโซแวนในอินโดนีเซียตะวันออก

ศิลปะถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดในบันทึกยังมาจากอินโดนีเซีย ในรูปของหมูสีแดงที่วาดบนเกาะสุลาเวสีเมื่อ 45,500 ปีก่อน ศิลปะนี้อาจเป็นผู้สร้างสรรค์โดย Homo sapiens

ยังไม่มีหลักฐานว่า H.sapiens และ H.floresiensis เคยผสมพันธุ์กัน นักวิทยาศาสตร์ไม่พบยีนที่ไม่รู้จักใดๆในจีโนมของชาวอินโดนีเซียสมัยใหม่ ซึ่งสามารถย้อนกลับไปสู่โฮมินินตัวน้อยได้ ช่วงเวลาของฟอสซิลที่พบบ่งบอกว่า ออบบิทสามารถอาศัยอยู่อย่างมีความสุขบนเกาะฟลอเรสได้ จนกว่ามนุษย์สมัยใหม่จะปรากฏตัวขึ้นและกำจัดมันออกไป ไม่ว่าจะโดยไม่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หรือกล่าวคือ “เป็นไปได้มากที่มนุษย์สมัยใหม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการสูญพันธุ์ของมัน”

หรืออาจมีฟอสซิล H. floresiensis ที่ใหม่กว่ารอการค้นพบที่จะพิสูจน์ว่าทั้งสองสายพันธุ์ Homo ทับซ้อนกันหรือไม่ ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นยุคทองของโบราณคดีชาวอินโดนีเซียและความร่วมมือระดับนานาชาติระหว่างนักวิทยาศาสตร์ท้องถิ่นกับส่วนอื่นๆ ของโลก ที่เกือบจะแน่ใจได้แล้วว่าจะมีการค้นพบมากขึ้นในปีต่อๆไป

 

แปลและเรียบเรียงจาก

Human 'hobbit' ancestor may be hiding in Indonesia, new controversial book claims

related