ผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนบ้านตานี จ.สุรินทร์ เดินสายรับบริจาคข้าวสารอาหารแห้งและเงินสด เป็นทุนสำรองค่าอาหารกลางวัน หลังถูกผู้อำนวยการโรงเรียนเบิกงบประมาณหายเงียบ
วันนี้ (18 มิ.ย.61) ที่บ้านตานี หมู่ที่ 1 ต.ตานี อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ หลังจากผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตานี เบิกเงินจากบัญชีเงินหมุนเวียนของโรงเรียนไปใช้ส่วนตัว จนทำให้โรงเรียนไม่มีเงินให้ผู้ปกครองเบิกค่าอุปกรณ์การเรียน และเป็นค่าอาหารกลางวันให้กับเด็กเรียน จำนวน 242 คน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 กระทั่งผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านตานี ร้องเรียนไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ (สพป.) เขต 3 จนมีคำสั่งให้ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตานี ย้ายมาปฎิบัติงานที่ สพป.สุรินทร์ เขต 3 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วก่อนหน้า
ล่าสุด ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านตานี ยังมีความเป็นห่วง ว่านักเรียนจะไม่มีอาหารกลางวันรับประทาน ถึงแม้จะมีคนบริจาคเงินและสิ่งของมาช่วยเหลือ จึงร่วมกัน 3 หมู่บ้าน ระหว่างบ้านตาจัน บ้านหนองกระบือและบ้านตานี และนักเรียนโรงเรียนบ้านตานี เดินสายออกรับบริจาค ข้าวสาร อาหารแห้ง และเงินสด เพิ่มเติม จากประชาชนหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง และได้รับบริจาคทั้งข้าวสาร ไข่เป็ด ไข่ไก่ และเงินสด กว่า 57,000 บาท เพื่อเป็นทุนสำรอง สนับสนุนอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านตานี
ขณะที่การสอบสวนข้อเท็จจริง ทางคณะกรรมการสถานศึกษา ซึ่งมีนายประภาส ศรีจันทร์เวียง นายอำเภอปราสาท นางภานิชา อินทร์ช้าง ผู้อำนวยการ สพป.สุรินทร์ เขต 3 และนางวิมลมาลย์ รินไธสง ศึกษาธิการจังหวัดสุรินทร์ พร้อม รองผู้อำนวยการสพป. เขต 3 ลงพื้นที่ที่โรงเรียนบ้านตานี ต.ตานี อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ หารือร่วมกับคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านตานี เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น โดยเฉพาะเรื่องอาหารกลางวันเด็กนักเรียน เบื้องต้น สพป. เขต 3 ได้มอบเงินจำนวน 2 หมื่นบาท ภาคเอกชนอีก 3 หมื่นบาท เพื่อไว้เป็นทุนในการจัดหาอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียน ซึ่งจะช่วยได้ประมาณ 50 วัน และมอบให้รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียน ดำเนินการเรื่องบัญชี นอกจากนี้ยังได้จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ร่วมตรวจสอบบัญชีการเบิกจ่ายที่ผ่านมาด้วย ส่วนเรื่องวินัย ทางสพป. เขต 3 ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงกับนายภักดิศัย ชูสงค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตานี แล้ว และได้รายงานไปยัง เลขา.กพฐ และผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ทราบแล้ว ซึ่งการสอบสวนข้อเท็จจริงคาดว่าไม่เกิน 19 มิถุนายนนี้ จะทราบผล ถ้าผิดจริงก็จะตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงต่อไป โดยมีโทษถึงขั้นไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ