
เกาหลีใต้ ส่ง EDU-TRIP บุกไทย โปรแกรมเชื่อมการศึกษา เข้ากับการท่องเที่ยว ให้นักเรียนออกมาสัมผัสวัฒนธรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ นอกห้องเรียน
เกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งประเทศคู่ค้า และการลงทุน การท่องเที่ยวที่สำคัญ จึงไม่แปลกที่จะเห็นทั้งสองประเทศนี้มีการลงทุน และความร่วมมืออื่นๆร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ เกาหลีใต้เป็นประเทศที่พัฒนาไปไกลมาก รวมถึงการท่องเที่ยว วัฒนธรรม ก็เติบโตไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้เกาหลีใต้ยังเดินหน้าพานักธุรกิจมาบุกตลาดใหม่ๆยังภูมิภาคอื่นๆ อย่างเช่น ศูนย์ส่งเสริมสตาร์ทอัพการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Startup Center: KTSC) ที่เดินหน้าสตาร์ทอัพจากเกาหลีใต้เดินทางเข้ามาทำธุรกิจกับไทยมากขึ้น
วันนี้จะพามาทำความรู้จัก Nanugi World ผู้พัฒนาโปรแกรม EDU-TRIP ที่ผสาน “การศึกษา” เข้ากับ “การท่องเที่ยว” เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนจากหลายประเทศ เช่น มองโกเลีย เวียดนาม ไทย สาธารณรัฐโดมินิกัน และคาซัคสถาน เดินทางมาเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีผ่านประสบการณ์จริง โดยบริษัทเชื่อว่าบทเรียนสำคัญในชีวิตเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ห้องเรียนให้ไม่ได้ ทำให้ผู้ก่อตั้งซึ่งมีพื้นฐานจากการเป็นอาสาสอนในต่างประเทศ มองเห็นข้อจำกัดของเวลาเรียน และต้องการพานักเรียนมาสัมผัสเกาหลีโดยตรง ทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และการใช้ชีวิต
‘แฮรี นา’ CEO บริษัท NANUGI WORLD โปรแกรม Edu-Trip ถูกออกแบบให้เป็นการเรียนรู้เชิงประสบการณ์อย่างเป็นระบบ (Structured Experiential Learning) โดยมุ่งให้เยาวชนได้เรียนรู้ทั้งด้านเนื้อหาและทักษะชีวิต ทริปไม่ใช่การทำกิจกรรมหลากหลายเพื่อความสนุก แต่มี “หัวข้อการเรียนรู้หลัก” เป็นแกน เช่น สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน ประวัติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ พร้อมสื่อการเรียนรู้ก่อน–ระหว่าง–หลังการเดินทาง เพื่อให้นักเรียน “เข้าใจภาพรวมทั้งหมด” ไม่ใช่เพียงเก็บกิจกรรมแบบกระจัดกระจาย
โดยนักเรียนจะได้รับทั้ง ความรู้เชิงปริมาณ ได้แก่ ภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ วัฒนธรรมดั้งเดิม ดนตรี และกิจกรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะกีฬาและประสบการณ์ทางทะเลในปูซาน รวมถึง การเติบโตเชิงคุณภาพ เช่น ทักษะคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม ความเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความมั่นใจ และความสามารถในการรับมือสถานการณ์จริง ปัจจุบันมากกว่า 70% ของนักเรียนที่เคยเข้าร่วม ได้มาศึกษาต่อหรือกำลังเตรียมตัวศึกษาต่อในเกาหลี ซึ่งสะท้อนผลลัพธ์ของการเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง
สำหรับจุดเด่นที่ทำให้ไม่เหมือนทริปทั่วไป คือ ทริปทั่วไปเน้น “ทำกิจกรรมให้หลากหลาย” แต่ Edu-Trip เน้น “เป้าหมายทางการศึกษา” เป็นศูนย์กลาง ทุกกิจกรรมถูกเชื่อมโยงกับหัวข้อหลักที่กำหนดไว้ ทำให้การเรียนรู้มีความหมายและเป็นระบบ เด็กๆ ได้เข้าใจบริบททางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ผ่านสถานการณ์จริง พร้อมเกิดทัศนคติที่ลึกซึ้งกว่าการไปทัศนศึกษาแบบทั่วไป Edu-Trip คือ “การเดินทางที่ทำให้เด็กเติบโตจากภายใน” และสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์จากประสบการณ์ตรงมากกว่าการเรียนรู้เชิงท่องจำ
อย่างไรก็ตาม Nanugi World ถูกออกแบบการเรียนรู้วัฒนธรรมโดยไม่มองวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นวัตถุเพื่อการบริโภค แต่เน้นการให้เกียรติและการเข้าใจซึ่งกันและกัน ผ่านกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องมารยาทและทัศนคติที่เหมาะสมต่อวัฒนธรรมอื่น ขณะทำกิจกรรมในพื้นที่จริง จะกระตุ้นให้นักเรียนเปิดใจ สนทนา แลกเปลี่ยน และเคารพมุมมองของคนท้องถิ่น สำหรับนักเรียนไทย Edu-Trip มักผสมกิจกรรมเกี่ยวกับวัด เช่น temple stay เพื่อสอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมและความสนใจด้านพุทธศาสนา
สำหรับการเข้ามาในไทย Nanugi World เห็นศักยภาพของไทยทั้งในด้านการศึกษาและการท่องเที่ยว ในด้านการศึกษา บริษัทเห็นโอกาสทำโครงการร่วมกับโรงเรียนในหลายภูมิภาค ทั้งการแลกเปลี่ยนนักเรียน การสร้างโครงการร่วม และกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมร่วมกัน โดยเฉพาะในเครือข่ายความร่วมมือด้านการศึกษาของอาเซียนที่เปิดโอกาสหลากหลายด้าน เช่น พหุวัฒนธรรม ภาษา และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งด้านการท่องเที่ยว ไทยและเกาหลีมีชื่อเสียงระดับโลก และมีทรัพยากรที่ต่อยอดเป็น “คอนเทนต์การเรียนรู้” ได้อย่างดี Nanugi World มองไทยเป็นตลาดสำคัญที่สุด และต้องการทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมทางวัฒนธรรมระหว่างเยาวชนของทั้งสองประเทศ ในอนาคตบริษัทตั้งใจจะพัฒนาโปรแกรมที่เข้าใจนักเรียนไทยอย่างลึกซึ้ง และผลักดันให้การเรียนรู้ข้ามพรมแดนเติบโตอย่างยั่งยืน
สุดท้าย Nanugi World เชื่อว่า “การเดินทางคือพื้นที่ของการเติบโต” โปรแกรม Edu-Trip จึงตั้งใจให้การเดินทางเป็นเครื่องมือพัฒนาเยาวชนให้เห็นโลกกว้าง เข้าใจตัวเอง เคารพความแตกต่าง และเติบโตเป็นพลเมืองโลกที่มีความรับผิดชอบและเปิดใจกว้างมากขึ้น บริษัทตั้งใจพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระยะยาวกับไทยและประเทศต่าง ๆ เพื่อให้การท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้กลายเป็นพื้นที่สำคัญของอนาคตเยาวชน
ผู้บริหาร กล่าวต่อไปว่าตลาดไทยในฐานะจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โปรแกรมนี้ถูกพัฒนาขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ต้องการให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากการเดินทางและเรียนรู้ชีวิตจริง ทั้งยังมุ่งมั่นที่จะนำเสนอเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับการศึกษาต่อในเกาหลี เพื่อป้องกันปัญหานักศึกษาถูกหลอกลวง สำหรับการเข้ามาทำธุรกิจในไทยและมุมมองทางเศรษฐกิจ ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดสูงมาก โดยมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศอันดับ 1 ในภูมิภาคนี้ เนื่องจากเป็นตลาดที่ผู้คนให้ความสนใจในการเรียนรู้ภาษาเกาหลีค่อนข้างมาก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเหนือกว่าตลาดอื่นๆ คือ ความสะดวกในการขอวีซ่า ETA เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น มองโกเลีย นอกจากนี ยังชื่นชมคนไทยที่เปิดกว้างและใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงมีความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมหลายด้าน เช่น พุทธศาสนา อาหาร และการเป็นเมืองท่องเที่ยว และที่สำคัญคือมุมมองที่ว่านักเรียนไทยเป็นคนที่มีคามน่ารัก และ ใจดี
โดยเป้าหมายระยะสั้นคือการสร้างความคุ้นเคยกับตลาดและหาคู่ค้า โดยเน้นการเข้าถึงสถาบันการศึกษาโดยตรง แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่ได้บรรลุความร่วมมือกับสถาบันใดเป็นทางการ แต่บริษัทได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าและบูธต่าง ๆ เพื่อแนะนำบริษัท ใช้กลยุทธ์สำคัญ คือการนำเสนอการให้ความรู้ฟรี (Talent Donation) แก่โรงเรียนต่าง ๆ เพื่อสร้างความสนใจในวัฒนธรรมเกาหลีก่อน เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จในประเทศอื่น ๆ อย่างคาซัคสถาน ซึ่งสามารถสอนนักเรียนได้เกือบ 1,000 คน ภายในหนึ่งสัปดาห์ โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือนักเรียนตั้งแต่วัยประถม (ประมาณ ป.2) ไปจนถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2
ทั้งนี้เป้าหมายแรกสุดสำหรับตลาดไทยคือ การได้รับสัญญาแรกและนำนักเรียนกลุ่มแรกเดินทางไปเกาหลี ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้าหรือช่วงฤดูร้อนของปีหน้า สำหรับโปรแกรม EDU-Trip คือ การผนวกการท่องเที่ยวเข้ากับการศึกษา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จริงจากสถานที่จริง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนรู้เชิงลึกด้านภาษาและวัฒนธรรม
1. การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง การได้เดินทางไปเกาหลีโดยตรงและสัมผัสวัฒนธรรมจริง ๆ จะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและลึกซึ้งกว่าการดูผ่านโทรทัศน์ นักเรียนจะได้มีโอกาสพูดคุยและได้รับประสบการณ์จริงกับคนเกาหลี
2. การออกแบบทริปเฉพาะทาง (Customized Trip): จุดที่แตกต่างจากทัวร์ทั่วไปคือโปรแกรมมี "วัตถุประสงค์" หรือ "ธีม" ที่ชัดเจน ทริปจะถูกออกแบบมาตามความสนใจของนักเรียน เช่น หากนักเรียนสนใจด้านพุทธศาสนา ก็อาจมีการเรียนรู้และเยี่ยมชม Temple Stay ในเกาหลี หรือหากสนใจ AI ก็จะมีการพาไปดูงานที่เกี่ยวข้อง
3. มุ่งเน้นการพัฒนาเชิงลึก: การเดินทางเพื่อการศึกษานี้ไม่ได้เป็นเพียงการท่องเที่ยว แต่บริษัทจะบันทึกข้อมูลและมีการให้คำปรึกษา (Consulting) เพื่อให้นักเรียนสามารถนำประสบการณ์ไปต่อยอดการเรียนรู้หรือการค้นหาตัวตนได้ ประสบการณ์ที่ได้รับจะถูกเก็บเป็น "ความทรงจำที่ดี" และพัฒนาการของเด็ก ๆ แม้จะมองไม่เห็นชัดเจน แต่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้น
4. บริการช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี (AI/Chatbot) ฟรี: สำหรับนักเรียนที่กลับมาจากทริปและต้องการศึกษาต่อที่เกาหลี บริษัทได้เตรียมเทคโนโลยีออนไลน์เพื่อช่วยเหลือ โดยนักเรียนสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ฐานะทางการเงิน งบประมาณ และความสนใจ เพื่อให้ AI คัดเลือกและแนะนำมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมที่สุด บริการนี้ยังรวมถึงการช่วยเหลือด้านเอกสารและการสมัครเข้าเรียน ซึ่งปกติเป็นบริการที่บริษัทเอเจนซี่อื่นคิดค่าใช้จ่ายสูง นานุกิ เวิลด์ ให้บริการนี้ฟรีเพื่อให้นักเรียนเข้าถึงการศึกษาที่ต้องการได้โดยตรง และหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวง
ที่สำคัญโปรแกรม EDU-Trip แตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติ ตรงที่ไม่ได้จำกัดการเรียนรู้ไว้ในกรอบของโรงเรียน แต่เน้นการพานักเรียนออกมาสัมผัสวัฒนธรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ นอกห้องเรียน ซึ่งถือเป็นการสร้างรากฐานของประสบการณ์อันมหาศาลสำหรับอนาคตของเด็กๆ