svasdssvasds

เปิดพฤติกรรมการเงินคนไทย 4 เจเนอเรชัน 70 % ตื่นตัวเรื่องความรู้ทางการเงิน

เปิดพฤติกรรมการเงินคนไทย  4 เจเนอเรชัน 70 % ตื่นตัวเรื่องความรู้ทางการเงิน

Gen Z - Baby Boomer มีวิธีการใช้เงิน และวางแผนการเงินที่แตกต่างกัน “กรุงศรี” เจาะอินไซต์ด้านการเงินของคนไทย 4 เจเนอเรชัน ชี้ 70 % ตื่นตัวเรื่องความรู้ทางการเงิน ต่างวัย ต่างแผนชีวิต

SHORT CUT

  • คนไทยตื่นตัวรู้เรื่องเงินมากขึ้นกว่า 70% ให้ความสำคัญกับความรู้ทางการเงิน ทักษะเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย OECD สะท้อนการหันมาวางแผน ออม และลงทุนอย่างจริงจัง
  • ต่างเจเนอเรชัน ต่างวิธีใช้เงิน ต่างเป้าหมายชีวิตGen Z เน้นสร้างรายได้หลายทางและเริ่มวางแผนเร็ว, Gen Y โฟกัสครอบครัวและทรัพย์สิน, Gen X เร่งเตรียมเกษียณอย่างเป็นระบบ, Baby Boomer เน้นความมั่นคงและค่าใช้จ่ายสุขภาพ
  • ออมเงินมากขึ้น แต่ทำตามแผนเกษียณได้ไม่ครบแม้ 87.5% ของครัวเรือนไทยมีการออม และกว่า 60% มีวินัยทางการเงิน แต่มีเพียง 15.7% ที่ทำตามแผนเกษียณได้จริง สะท้อนโจทย์สำคัญเรื่องการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง

Gen Z - Baby Boomer มีวิธีการใช้เงิน และวางแผนการเงินที่แตกต่างกัน “กรุงศรี” เจาะอินไซต์ด้านการเงินของคนไทย 4 เจเนอเรชัน ชี้ 70 % ตื่นตัวเรื่องความรู้ทางการเงิน ต่างวัย ต่างแผนชีวิต

ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนและเทคโนโลยีทางการเงินที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมการเงินของคนไทยในแต่ละช่วงวัยกำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากเจนเนอเรชันที่คุ้นเคยกับการออมแบบดั้งเดิม สู่คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับดิจิทัล แพลตฟอร์มการชำระเงิน และการลงทุนรูปแบบใหม่ ความแตกต่างด้านมุมมอง วิธีใช้เงิน และการวางแผนอนาคตทางการเงินของแต่ละเจน จึงไม่ใช่เพียงเรื่องวัย แต่สะท้อนถึงบริบทสังคม เศรษฐกิจ และความท้าทายที่แต่ละรุ่นต้องเผชิญอย่างแท้จริง

ล่าสุด วิจัยกรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ได้เผยผลสำรวจทักษะทางการเงินของคนไทยปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 71.4% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการมีความรู้ทางการเงิน เพื่อต่อยอดไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทักษะทางการเงินเหล่านั้นจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อมีรากฐานทางการเงินที่แข็งแรงก่อน

ทั้งนี้มีผลสำรวจพบสัญญาณที่ดีที่สะท้อนว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการมีความรู้ทางการเงินเพื่อต่อยอดไปสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยรายงาน Saving Behavior Survey: Decoding the Saving Habits of Thai Consumers 2025 ที่รวบรวมข้อมูลโดยวิจัยกรุงศรีชี้ว่า ทักษะทางการเงินของคนไทยมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% เพิ่มขึ้นจาก 67.4% ในปี 2563 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ 60.5% (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานวัดระดับทักษะทางการเงินในระดับสากล

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ครัวเรือนไทยมีการออมเงินบางส่วนจากรายได้ สูงถึง 87.5% โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบที่มีความปลอดภัยสูง เช่น เงินสด หรือ บัญชีเงินฝากเพื่อการออมโดยเฉพาะ โดย 60% มีวินัยทางการเงินที่ดี โดยมีการออมหรือลงทุนอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ เดือน และสามารถเก็บเงินได้ 20-30% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

และ 61.1% ของประชากรไทยมีแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณอายุ และได้เริ่มออมเงินเพื่อเป้าหมายดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม มีเพียง 15.7% เท่านั้นที่สามารถดำเนินการตามแผนได้อย่างครบถ้วนจริง โดยผลสำรวจยังพบอีกว่า แต่ละเจเนอเรชั่นในปัจจุบันมีความต้องการทางการเงินที่แตกต่างกัน ทำให้มีพฤติกรรมทางการเงินในปัจจุบันที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • Gen Z วัยเริ่มทำงาน (20–30 ปี)

คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับวิกฤตและความไม่แน่นอน ทำให้ Gen Z เข้าใจตั้งแต่ต้นว่าความมั่นคงไม่ได้เกิดขึ้นเอง พวกเขาจึงเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งเป้าหมายความสำเร็จทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวในระยะยาว โดยมองช่วงอายุราว 53 ปีเป็นจุดหมายแห่งความมั่งคั่งกลุ่มนี้โดดเด่นเรื่องการหารายได้หลายทาง โดยกว่า 38% มีรายได้มากกว่าหนึ่งช่องทาง พร้อมให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ไม่ยึดติดกับการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว ด้านการบริหารเงิน เน้นสร้างเงินสำรองฉุกเฉิน 3–6 เดือน เริ่มลงทุนกับการพัฒนาทักษะ วางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนควบคู่ไปกับผลตอบแทน

  • Gen Y วัยสร้างครอบครัว (30–40 ปี)

Gen Y คือกำลังหลักของครอบครัว ที่ต้องแบกรับทั้งภาระการงานและความมั่นคงของคนรอบตัว กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการสร้างทรัพย์สินระยะยาว เช่น บ้านและรถ โดยมองว่าเมื่ออายุราว 31 ปีควรมีบ้านเป็นของตนเอง พร้อมเร่งสร้างความก้าวหน้าในอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง ในด้านการวางแผนอนาคต Gen Y เป็นวัยที่เริ่มให้ความสำคัญกับการเกษียณอย่างจริงจัง และมีความคาดหวังเงินใช้หลังเกษียณสูงที่สุดในทุกช่วงวัย เฉลี่ยถึง 35,000 บาทต่อเดือน เครื่องมือทางการเงินที่นิยมคือประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ทุนการศึกษาบุตร รวมถึงการลงทุนที่เน้นความปลอดภัย เพื่อรักษาเงินต้นและเสถียรภาพของครอบครัว

  • Gen X วัยมั่นคง (40–55 ปี)

เมื่อเข้าใกล้ช่วงปลายของการทำงาน Gen X หันมาโฟกัสการเกษียณอย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยถึง 79% มีแผนการเงินเพื่อเกษียณเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะเกษียณที่อายุเฉลี่ย 59 ปี แม้ต้องรับบท Sandwich Generation ที่ดูแลทั้งลูกและพ่อแม่ ส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่ายสูง แต่กลุ่มนี้มีวินัยทางการเงินชัดเจนขึ้น เห็นได้จาก 30% ที่สามารถออมเงินได้ตามแผน เป้าหมายหลักคือการเร่งปลดหนี้ สร้างรายได้แบบ Passive Income จากอสังหาริมทรัพย์หรือเงินปันผล และจัดสรรเงินออมถึง 41% ของพอร์ตไว้เพื่อการเกษียณ ผ่านเครื่องมือความเสี่ยงต่ำ เช่น RMF และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

  • Baby Boomer วัยอิสระ (60 ปีขึ้นไป)

วัยเกษียณในปัจจุบันไม่ได้หมายถึงการหยุดนิ่งอีกต่อไป Baby Boomer จำนวนมากยังคงใช้ชีวิตอย่างแอคทีฟ โดย 83% วางแผนการเงินเพื่อเกษียณไว้ล่วงหน้า และกว่า 32% ยังมีรายได้หลักจากการทำงานของตนเอง

อย่างไรก็ตาม การบริหารเงินในช่วงนี้เน้นความรอบคอบ เพื่อให้เงินเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอีก 20–25 ปีหลังหยุดทำงาน กลุ่มนี้ให้ความสำคัญสูงสุดกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการรักษาเงินต้น (Wealth Preservation) ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากและประกันสะสมทรัพย์ เพื่อให้เงินที่มีอยู่อย่างปลอดภัยตลอดช่วงบั้นปลายชีวิต

แม้คนไทยทั้ง 4 เจเนอเรชัน ตั้งแต่ Gen Z จนถึง Baby Boomer จะมีมุมมอง วิธีใช้เงิน และเป้าหมายทางการเงินที่แตกต่างกันตามช่วงวัยและประสบการณ์ชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังเห็นชัดร่วมกันคือ “การตื่นตัวด้านความรู้ทางการเงิน” เมื่อกว่า 70% เริ่มหันมาใส่ใจการวางแผน ออม ลงทุน และบริหารความเสี่ยงอย่างจริงจัง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผันผวนและอนาคตที่ไม่แน่นอน ความเข้าใจเรื่องเงินจึงไม่ใช่แค่ทักษะเสริมอีกต่อไป หากแต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทุกเจเนอเรชันก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง และใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related