
SHORT CUT
เมื่อ 'เงินสด' กลายเป็นเรื่องตลกของคนรุ่นใหม่ เปิดมุมมอง Gen Z เลิกพกกระเป๋าสตางค์ หันซบแอปฯ การเงิน ดันยอดธุรกรรมดิจิทัลพุ่งสูงสุดในประวัติการณ์
รายงานล่าสุดชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งใหญ่ของชาว Gen Z ที่กำลังก้าวเข้าสู่ 'สังคมไร้เงินสด' อย่างเต็มรูปแบบ
ข้อมูลจาก Juniper Research ระบุว่าปัจจุบันมีประชากรโลกกว่า 4.4 พันล้านคน (หรือราวครึ่งโลก) ใช้งาน Digital Wallet และคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 35% ภายในปี 2030
โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 24 ปี ที่ใช้โทรศัพท์มือถือในการชำระเงินสูงถึง '45%' ของการใช้จ่ายทั้งหมด สวนทางกับการใช้เงินสดที่เหลือสัดส่วนเพียง 14% ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุหรือครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
ทัศนคติที่มีต่อ 'มูลค่าของเงิน' ที่เปลี่ยนไป สำหรับคนรุ่นก่อน 'เงินสด' คือความมั่นคงและจับต้องได้ แต่สำหรับ Gen Z เงินสดเปรียบเสมือน 'เงินทิพย์' หรือคล้ายกับเงินในเกมเศรษฐี
Hailey Moore วัย 26 ปี ให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์มานานกว่า 10 ปีแล้ว และเมื่อไหร่ที่มีเงินสดติดตัว เธอจะรู้สึกว่ามันเป็นเงินส่วนเกินที่ไม่ได้อยู่ในระบบบัญชี จึงมักนำไปใช้ซื้อความสุขเล็กๆ น้อยๆ (Little treat) ได้โดยไม่รู้สึกผิด
ในทางกลับกัน คนรุ่นใหม่กลับรู้สึก "เชื่อใจ" และรู้สึกปลอดภัยกับตัวเลขใน Digital Wallet มากกว่าการพกเงินสดเป็นฟ่อนเสียอีก
เทรนด์ 'ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง' มาแรงแซงบัตรเครดิต แม้การใช้บัตรเครดิตจะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายได้ง่าย แต่ Gen Z กลับระมัดระวังเรื่องหนี้สินจากบัตรเครดิตและดอกเบี้ยที่ซับซ้อน พวกเขาหันไปนิยมบริการ Buy Now, Pay Later (BNPL) อย่าง Klarna หรือ Affirm แทน เพราะมองว่ามีความโปร่งใสและแบ่งจ่ายได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก PayPal เตือนว่า BNPL อาจกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัวเพิ่มขึ้นถึง '91%' ในร้านค้าขนาดใหญ่ เพราะความรู้สึกที่ว่า "จ่ายแค่เดือนละนิดเดียว" ทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นจนอาจก่อหนี้ก้อนโตในระยะยาว
'แม้ชีวิตไร้เงินสดจะสะดวกสบาย แต่เทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบในทุกสถานการณ์'
กรณีศึกษาจาก Tori Khutorna วัย 28 ปี ที่เดินทางไปต่างประเทศและพบอุปสรรคเมื่อระบบไฟฟ้าขัดข้องในยูเครน หรือเครื่องรูดบัตรเสียในอิตาลี ทำให้เธอไม่สามารถซื้ออาหารหรือตั๋วรถโดยสารได้ สะท้อนให้เห็นว่า แม้โลกจะหมุนไปทางดิจิทัล แต่การไม่มีเงินสดติดตัวเลยอาจทำให้ชีวิตสะดุดได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ที่มา : Business Insider