คนไทยบ้านถูกยึดพุ่ง 210% ชี้บ้านต่ำล้านมากสุด แนะรัฐหามาตรการช่วย

เศรษฐกิจแบบนี้ต้องบอกได้คำเดียวใครผ่อนไหวไปก่อนเลย ล่าสุด นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2568 ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนกำลังส่งผลให้จำนวนบ้านที่ถูกยึดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้จำเป็นต้องเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี โดยเฉพาะการไกล่เกลี่ยหนี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มมีปัญหา เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวต้องสูญเสียที่อยู่อาศัย

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า จำนวนที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและนำออกขายทอดตลาดมีมากถึง 67,641 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 210.1% ที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท โดยลูกหนี้ขาดความสามารถผ่อนชำระหลังภาระดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น และไม่สามารถรีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ยได้ทัน

สภาพัฒน์ฯ ให้ความสำคัญกับกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า ลูกหนี้ในคดียึดทรัพย์กว่า 1 ใน 3 ยังวนอยู่ในภาวะหนี้ แม้บ้านถูกขายทอดตลาดแล้ว และมีความเสี่ยงถูกยึดหรืออายัดทรัพย์เพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องผลักดันมาตรการช่วยเหลือก่อนถึงขั้นบังคับคดี

ด้านสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 2/2568 พบว่า มูลหนี้รวมอยู่ที่ 16.31 ล้านล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงมาอยู่ที่ 86.8% จาก 87.1% ในไตรมาสก่อน ขณะเดียวกันข้อมูลเครดิตบูโรระบุว่า สินเชื่อที่เป็นหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นเป็น 1.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9.11% ของสินเชื่อรวม และเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ

แม้หนี้ผิดนัดช่วงสั้น 1–3 เดือน (SMLs) จะลดลงจากความคืบหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ แต่สภาพัฒน์ฯ มองว่า หนี้ครัวเรือนยังมีแนวโน้มขยับขึ้นหลังการดำเนินโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ที่แยกหนี้เสียไปบริหารในบริษัทบริหารสินทรัพย์ จะช่วยให้ธนาคารกลับมาปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป

ในส่วนของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สศช. เสนอให้ภาครัฐเร่งอำนวยสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน ไม่สร้างภาระยาว พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการช่วยเหลือเพื่อป้องกันคนตกไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ รวมถึงผลักดันให้ความช่วยเหลือครอบคลุมลูกหนี้นอกระบบสถาบันการเงิน (Non-bank) ให้มากขึ้น