svasdssvasds

ประวัติศาสตร์ Adobe - ผู้คิดค้น Photoshop -ไฟล์ PDF เคยผูกขาดโลกทั้งใบของครีเอทีฟ-กราฟิก

ประวัติศาสตร์ Adobe  - ผู้คิดค้น Photoshop -ไฟล์ PDF เคยผูกขาดโลกทั้งใบของครีเอทีฟ-กราฟิก

ประวัติศาสตร์ Adobe - ผู้คิดค้น Photoshop -ไฟล์ PDF ที่เราคุ้นเคย และที่ผ่านมา เคยผูกขาดโลกทั้งใบของครีเอทีฟ-มือกราฟิก

เรื่องราวของ Adobe ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของบริษัทซอฟต์แวร์ แต่คือภาพสะท้อนวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา จากผู้ปฏิวัติการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สู่การเป็นเจ้าของอาณาจักรโปรแกรมออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก วันนี้ Adobe กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อเทคโนโลยี Generative AI กำลังสั่นคลอนบัลลังก์ที่เคยดูมั่นคงของพวกเขา

จุดเริ่มต้น: การปฏิวัติบนแผ่นกระดาษ 

ย้อนกลับไปในปี 1982 John Warnock และ Charles Geschke สองวิศวกรจากศูนย์วิจัย Xerox PARC อันเลื่องชื่อ ได้ตัดสินใจลาออกมาเพื่อก่อตั้ง Adobe Systems สิ่งที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลกการพิมพ์ไปตลอดกาล นั่นคือภาษา PostScript

ในยุคที่การพิมพ์ตัวอักษรและภาพกราฟิกคุณภาพสูงจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง PostScript ได้เข้ามาทลายกำแพงนั้น มันคือ "ภาษากลาง" ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกับเครื่องพิมพ์ได้อย่างแม่นยำและสวยงาม การจับมือกับ Apple ในยุคแรกเริ่มได้ทำให้ Adobe กลายเป็นหัวใจสำคัญของ "การปฏิวัติการพิมพ์บนโต๊ะทำงาน" (Desktop Publishing Revolution) ไม่เพียงเท่านั้น ทีมงานยุคบุกเบิกยังได้สร้างสรรค์นวัตกรรมสำคัญอย่างไฟล์ PDF (Portable Document Format) ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการแลกเปลี่ยนเอกสารดิจิทัลมาจนถึงทุกวันนี้

ประวัติศาสตร์ Adobe  - ผู้คิดค้น Photoshop -ไฟล์ PDF เคยผูกขาดโลกทั้งใบของครีเอทีฟ-กราฟิก
 

การสร้างอาณาจักร: Photoshop และ Creative Suite 

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ Adobe ก้าวเข้าสู่สถานะ "ตำนาน" อย่างแท้จริง เกิดขึ้นในปี 1988 เมื่อบริษัทได้ตัดสินใจเข้าซื้อโปรแกรมตกแต่งภาพที่ชื่อว่า "Image Pro" จากสองพี่น้อง Thomas และ John Knoll สองปีต่อมา โปรแกรมนั้นได้เปิดตัวในชื่อใหม่ที่คนทั้งโลกรู้จัก: Photoshop

Photoshop ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรม แต่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม มันได้มอบเครื่องมือที่เคยจำกัดอยู่แค่ในสตูดิโอมืออาชีพให้แก่คนทั่วไป และได้ขยายอาณาจักรของตนเองอย่างรวดเร็วด้วยการพัฒนาและเข้าซื้อกิจการโปรแกรมสร้างสรรค์อื่นๆ เช่น Illustrator, Premiere Pro, และ After Effects

ในช่วงทศวรรษ 2000 Adobe ได้รวมซอฟต์แวร์เรือธงเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกันในชื่อ Creative Suite ซึ่งเป็นการมัดรวมผลิตภัณฑ์ที่สร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ทำให้นักสร้างสรรค์แทบทุกคนต้องพึ่งพาเครื่องมือของ Adobe ในการทำงาน

ประวัติศาสตร์ Adobe  - ผู้คิดค้น Photoshop -ไฟล์ PDF เคยผูกขาดโลกทั้งใบของครีเอทีฟ-กราฟิก

การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์: สู่ยุค Creative Cloud 

ภายใต้การนำของ CEO คนปัจจุบัน Shantanu Narayen ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในปี 2007 Adobe ได้ทำการตัดสินใจทางธุรกิจที่เสี่ยงและท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ในปี 2013 บริษัทได้ประกาศยกเลิกการขายซอฟต์แวร์แบบ "ซื้อขาด" และเปลี่ยนผ่านสู่โมเดล "สมัครสมาชิกรายเดือน" ในชื่อ Adobe Creative Cloud

การเปลี่ยนแปลงนี้เผชิญกับกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้ใช้งานทั่วโลกที่คุ้นเคยกับการเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ตลอดชีพ ทว่าในระยะยาว มันกลับกลายเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับบริษัท การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เรื้อรังมานาน แต่ยังเปลี่ยน Adobe ให้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตกระแสเงินสดที่มีรายได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ผลลัพธ์คือรายได้ของบริษัทพุ่งทะยานจากราว 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2013 สู่ระดับกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน

AI และคู่แข่งที่ไม่คาดคิด 

ความสำเร็จของโมเดล Creative Cloud ทำให้ Adobe ดูเหมือนจะไร้เทียมทาน แต่แล้วในช่วงต้นทศวรรษ 2020 ภัยคุกคามระลอกใหม่ก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกันจากสองทิศทาง

Generative AI: การมาถึงของ AI ที่สามารถสร้างสรรค์ภาพ วิดีโอ หรือโลโก้ได้จากคำสั่งข้อความ (Text-to-Image) อย่าง Midjourney และ DALL-E ได้ตั้งคำถามพื้นฐานถึงความจำเป็นของเครื่องมืออย่าง Photoshop ทำไมนักสร้างสรรค์ต้องจ่ายเงินค่าสมาชิกรายเดือน ในเมื่อ AI สามารถสร้างผลงานขั้นสุดท้ายได้ในเวลาไม่กี่วินาที?

Figma: ในขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มออกแบบ UX/UI น้องใหม่อย่าง Figma ก็ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในหมู่สตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยี ด้วยจุดเด่นด้านการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์บนเบราว์เซอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Adobe ยังทำได้ไม่ดีพอ

Adobe พยายามตอบโต้ภัยคุกคามจาก Figma ด้วยการเสนอเข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าวกลับถูกหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปและสหราชอาณาจักรสกัดกั้น ด้วยความกังวลว่าจะทำลายการแข่งขันในตลาด การล่มดีลครั้งนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของ Adobe

 การเดิมพันครั้งสุดท้าย: Firefly คือคำตอบ ที่ใช่ ? 

เมื่อการซื้อคู่แข่งทำไม่สำเร็จ Adobe จึงหันมาทุ่มสุดตัวกับการพัฒนา AI ของตัวเองในชื่อ Adobe Firefly แต่แทนที่จะสร้าง AI ขึ้นมาแข่งขันโดยตรง Adobe เลือกใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่า นั่นคือการ "ฝัง" AI เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมเดิม

จุดแข็งที่สุดของ Firefly คือการถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลจากคลังภาพ Adobe Stock ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องและภาพสาธารณะเท่านั้น ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความ "ปลอดภัยเชิงพาณิชย์" (Commercially Safe) ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์และองค์กรขนาดใหญ่ให้ความสำคัญสูงสุด ฟีเจอร์อย่าง Generative Fill ใน Photoshop ที่ให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มหรือลบวัตถุในภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์นี้

วันนี้ Adobe กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญที่สุด พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับคู่แข่งที่เป็นบริษัทอีกต่อไป แต่กำลังต่อสู้กับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค การเดิมพันอนาคตทั้งหมดไว้กับ Firefly และความสามารถในการบูรณาการ AI เข้ากับระบบนิเวศเดิม คือบทพิสูจน์ว่ายักษ์ใหญ่ที่เคยครองโลกมานานกว่า 40 ปี จะยังสามารถปรับตัวและเต้นไปกับท่วงทำนองใหม่ของโลกดิจิทัลได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบ

ที่มา : medium.com britannica businessinsider  bbc

related