
SHORT CUT
แหล่งทุนฉุกเฉินของคนรุ่นใหม่" : โรงรับจำนำ Easy Money และการเปลี่ยน "สินทรัพย์" เป็น "โอกาส" นี่คือจุดเริ่มต้นของคนที่มีวิสัยทัศน์แต่ขาดเพียงแค่ "เงินสด"
ในอดีต หากพูดถึง "โรงรับจำนำ" ภาพจำที่ผุดขึ้นในหัวของคนส่วนใหญ่คือสถานที่ทึบทึม ทางออกสุดท้ายของผู้ที่หลังชนฝา หรือสัญลักษณ์ของความขัดสนทางการเงิน แต่ในวันนี้ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่ในไทย ปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองกำลังเกิดขึ้นที่ "Easy Money" (อีซี่ มันนี่)
โรงรับจำนำเอกชนรายนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่รับจำนำของ แต่กำลังกลายร่างเป็น "กระเป๋าเงินสำรอง" และ "สะพานสู่โอกาสทางธุรกิจ" ที่สำคัญสำหรับฟรีแลนซ์, สตาร์ทอัพ และนักลงทุนรายย่อย สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ทางการเงินของไทย
ภายใต้การนำของ สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ ประธานกรรมการบริหาร อีซี่มันนี่ กรุ๊ป ตัวเลขพอร์ตสินเชื่อที่พุ่งสูงถึง 2.7 หมื่นล้านบาท (ณ พฤศจิกายน 2568) ไม่ได้บ่งบอกถึงความยากจนของคนไทย แต่กลับสะท้อนถึง "ความต้องการสภาพคล่องที่รวดเร็ว"
ในยุคที่คนรุ่นใหม่ไม่ได้ทำงานประจำรับเงินเดือน (Gig Economy) ระบบธนาคารแบบดั้งเดิมที่เน้นเอกสารเครดิตที่ซับซ้อนอาจไม่ใช่คำตอบที่ทันท่วงที Easy Money จึงเข้ามาอุดช่องว่างนี้ด้วยโมเดล Asset-Backed Financing หรือการใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่เปลี่ยนเป็นทุน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่คนรุ่นใหม่ใช้ไขประตูสู่โอกาส:
ช่างภาพฟรีแลนซ์: เปลี่ยนกล้อง Leica ราคาแพงเป็นเงินสดชั่วคราว เพื่อเป็นค่าเดินทางหรือค่าจ้างทีมงานสำหรับโปรเจกต์ใหญ่
แม่ค้าออนไลน์: นำทองคำสะสมมาเปลี่ยนเป็นทุนสต็อกสินค้า เพื่อรับมือกับยอดสั่งซื้อถล่มทลายในช่วงเทศกาล 11.11 หรือ 12.12
นักลงทุน: เปลี่ยนนาฬิกาหรูเป็นเงินสด เพื่อ "ช้อนซื้อหุ้น" ในวันที่ตลาดตกหนัก หรือนำไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto) ที่ต้องการความไวระดับวินาที
แม้แต่กรณีที่น่าสนใจอย่าง "พ่อค้าปลาคราฟ" ที่นำทรัพย์สินมาจำนำเพียงเพื่อนำเงินไปหมุนเวียนซื้ออาหารปลาเกรดพรีเมียม ก่อนที่จะทำกำไรได้จากการขายปลา สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่า โรงรับจำนำยุคใหม่คือ เครื่องมือบริหาร Cash Flow ของผู้ประกอบการรายย่อย
สิ่งที่ทำให้ Easy Money แตกต่างและดึงดูดคนรุ่นใหม่ คือปรัชญาทางการเงินที่เปลี่ยนไป สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ นิยามโมเดลนี้ว่าเป็นการ "กู้ยืมจากสินทรัพย์ของตัวเอง" (Borrowing from yourself)
ต่างจากการรูดบัตรเครดิตหรือกู้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อประวัติใน "เครดิตบูโร" การจำนำคือการใช้สิทธิในสิ่งที่ตนมี ความเสี่ยงจำกัดอยู่แค่ตัวทรัพย์สิน ดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน กลายเป็นต้นทุนที่ยอมรับได้เมื่อแลกกับโอกาสทางธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า
"คนไทยจำนวนมากมีศักยภาพในมืออยู่แล้ว แต่ระบบการเงินแบบเดิมมองไม่เห็นศักยภาพนั้น" — สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ
วิสัยทัศน์นี้กำลังผลักดันให้ Easy Money กลายเป็น "Financial Kindergarten" (โรงเรียนอนุบาลทางการเงิน) สถานที่ที่ผู้คนเรียนรู้การบริหารทรัพย์สินและสภาพคล่อง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะล้มละลายจากการเป็นหนี้เสีย
การเติบโตของ Easy Money ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ผ่านการออกแบบโดย คุณสุธี พนาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้เปรียบเสมือนสถาปนิกทางการเงินของบริษัท ด้วยกำไรสุทธิกว่า 1,188 ล้านบาท ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 และการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจาก 3 ธนาคารใหญ่ระดับประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า "ธุรกิจจำนำ" ได้รับการยอมรับในฐานะฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจแล้ว
เป้าหมายต่อไปคือการเข้าสู่ ตลาดหลักทรัพย์ (SET) ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า พร้อมกับการยกระดับบริการผ่าน 3 เสาหลัก:
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ คนไทยถือครองทองคำรวมกันมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท ยังไม่นับรวมนาฬิกาหรู พระเครื่อง และแบรนด์เนม นี่คือ "ทุนนอน" (Dormant Capital) มหาศาลที่รอวันถูกปลุก
Easy Money กำลังทำหน้าที่เป็นกลไกที่เปลี่ยนสินทรัพย์นิ่งๆ เหล่านี้ให้กลายเป็นพลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สำหรับคนรุ่นใหม่และภาคธุรกิจไทย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการจำนำของ แต่มันคือเรื่องของ Financial Inclusion หรือการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม โดยใช้สิ่งที่พวกเขามีอยู่แล้วเพื่อสร้างอนาคตของตัวเอง
ในวันที่โลกหมุนเร็วด้วยโอกาสทางธุรกิจ "โรงรับจำนำ" จึงไม่ใช่จุดจบของคนถังแตกอีกต่อไป แต่คือจุดเริ่มต้นของคนที่มีวิสัยทัศน์แต่ขาดเพียงแค่... "เงินสด"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง