svasdssvasds

ประเทศไทย อยู่ตรงไหนในโลก AI เมื่อ “คน” คือเดิมพันสุดท้ายของการแข่งขัน

ประเทศไทย อยู่ตรงไหนในโลก AI เมื่อ “คน” คือเดิมพันสุดท้ายของการแข่งขัน

ประเทศไทยในสมรภูมิการแข่งขัน AI : เมื่อ “คน” คือเดิมพันสุดท้าย และทางรอดคือการเปิดประตูรับมันสมองโลก จากมุมมองของ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากพรรคไทยก้าวใหม่ และ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ จากพรรคประชาธิปัตย์

ไทยในสมรภูมิ AI: เมื่อ “คน” คือเดิมพันสุดท้าย และทางรอดคือการเปิดประตูรับมันสมองโลก

คำถามที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี

ในเวที AI Innovation Summit 2025 ที่ Club Siam Glowfish คำถามสำคัญไม่ใช่อีกต่อไปว่า “AI ทำอะไรได้บ้าง” แต่คือคำถามเชิงชะตากรรมว่า “ประเทศไทยจะยืนอยู่ตรงไหนในโลกของ AI”
ภายใต้ธีม “Enabling Endless Possibilities with AI” งานที่จัดโดยสถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AIEI) ร่วมกับมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (CMKL University) ได้เปิดพื้นที่ถกเถียงเชิงนโยบายอย่างเข้มข้นในเวที Vision Sharing: 

‘ทิศทางเทคไทย Turn Thai to Tech Tide’
สองผู้ร่วมเสวนา—ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากพรรคไทยก้าวใหม่ และ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ จากพรรคประชาธิปัตย์—เห็นตรงกันในความจริงอันเจ็บปวดข้อเดียวกัน นั่นคือ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สงคราม AI โดยขาดอาวุธที่สำคัญที่สุด: “คน”

ประเทศไทย อยู่ตรงไหนในโลก AI เมื่อ “คน” คือเดิมพันสุดท้ายของการแข่งขัน
 

วิกฤต 500 ต่อ 20,000: ตัวเลขที่ไม่โกหกใคร

ตัวเลขที่ถูกหยิบยกขึ้นมากลางเวทีฟังดูแทบไม่น่าเชื่อ ประเทศไทยผลิตบุคลากรด้าน AI ได้จริง ไม่ถึง 500 คนต่อปี ในขณะที่ความต้องการขั้นต่ำเพื่อให้แข่งขันได้อยู่ที่ 20,000 คนต่อปี

“นี่คือสงครามที่เป็นตายของ AI เมื่อไม่มีคน คือแพ้ทันที”
ศ.ดร.สุชัชวีร์ แสดงความคิดเห็น พร้อมชี้ว่า หากไทยไม่สามารถผลิตหรือดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงได้ ก็ยากจะต่อกรกับประเทศอื่นในสนามนี้

ขณะที่ ดร.การดี เสริมภาพวิกฤตเชิงโครงสร้างด้วยข้อมูลด้านการศึกษา โดยชี้ว่า ประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างสิงคโปร์หรือเกาหลีใต้ มีสัดส่วนผู้เรียนสาย STEM สูงกว่า 50% ขณะที่ไทยยังต่ำกว่า 20% อย่างมีนัยสำคัญ
 

ทางรอดที่ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์

แม้ภาพรวมจะดูน่ากังวล แต่เวทีนี้ไม่ได้จบลงด้วยความสิ้นหวัง ดร.การดี เสนอว่า ไทยไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำในทันที แต่ควรมองบทบาทของตนเองใหม่ในฐานะ “โซ่ข้อกลาง” ของนวัตกรรม

บทเรียนจากยุคที่ไทยเคยเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ชี้ให้เห็นว่า จุดแข็งของประเทศคือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดผลจริงในระบบเศรษฐกิจและสังคม

“AI ควรถูกมองเป็นโครงสร้างพื้นฐาน (Fundamental) แล้วต่อยอดด้วยแอปพลิเคชันที่ทำให้ชีวิตคนง่ายขึ้น ” ดร.การดี กล่าว
นั่นหมายถึง โอกาสของไทยอาจอยู่ที่การสร้าง Use Case จริง การพัฒนาข้อมูลใหม่ และการเป็นศูนย์กลางการใช้งาน AI มากกว่าการแข่งขันด้านฮาร์ดเทคเพียงอย่างเดียว

ทางลัดที่ต้องกล้าเลือก: เปิดประเทศรับหัวกะทิโลก

ข้อเสนอที่ชัดและแรงที่สุดของเวทีนี้คือแนวคิดการแก้ปัญหา “คนไม่พอ” แบบก้าวกระโดด
ศ.ดร.สุชัชวีร์ เสนอให้รัฐเลิกคิดแค่การผลิตคนผ่านระบบการศึกษาแบบเดิม แต่ต้องเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น Magnet ของ Talent โลก

“ถ้าจะจุดพลุการศึกษา ต้องเอาคนที่เก่งที่สุดมาอยู่ที่นี่ เอาสมองที่ดีที่สุดมาปักหมุดในไทย”

โมเดลของโรงเรียนนานาชาติและ CMKL University ถูกยกเป็นตัวอย่างของการดึงองค์ความรู้ระดับโลกเข้ามา ซึ่งจะก่อให้เกิด Technology Transfer โดยอัตโนมัติ เร็วกว่าการรอสร้างคนรุ่นใหม่เป็นสิบปี

คอขวดสุดท้าย: การเมืองและวิสัยทัศน์ผู้นำ

เห็นตรงกันว่า อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือ การเมือง
ดร.การดี เรียกร้องให้เลิกวัฒนธรรม “รัฐมนตรีตามโควตา” และหันมาใช้ Technocrat ที่มีความเชี่ยวชาญจริง พร้อมกำหนด KPI ระดับประเทศที่วัดผลจากความก้าวหน้า ไม่ใช่ตัวบุคคล

ขณะที่ศ.ดร.สุชัชวีร์ เตือนว่า เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วกว่าเส้นกราฟแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล หากผู้นำยังคิดช้า ในเรื่อง AI  ระบบราชการยังอืด “เกมก็จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

เวลาไม่รอใคร

เวที Vision Sharing ครั้งนี้ทิ้งสารสำคัญไว้ชัดเจน ประเทศไทยยังมีโอกาสในสมรภูมิ AI แต่โอกาสนั้นมี เวลาจำกัด
ทางออกไม่ใช่การรอให้ระบบการศึกษาผลิตคนรุ่นใหม่ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า หากแต่คือการ เปิดประเทศ เปิดความคิด และเปิดระบบ ตั้งแต่วันนี้

หากทำได้ ไทยอาจไม่ใช่แค่ผู้ตามกระแสเทคโนโลยี แต่สามารถก่อรูปเป็น “Tech Tide” คลื่นลูกใหม่ของภูมิภาคได้จริง—ก่อนที่หน้าต่างแห่งโอกาสจะปิดลงอย่างถาวร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related