ธุรกิจรับดูแลร่างผู้จากไป ทำให้กลายเป็นปุ๋ยสู่ดิน : การตายยังช่วยรักษ์โลก
เมื่อความตาย ยังสามารถช่วยโลกได้ รักษ์โลกได้ ... มี บริษัทรับให้บริการ ทำศพแบบใหม่ เช่น การดูแลร่างให้กลายเป็นปุ๋ยและดิน เพื่อช่วยลดมลพิษจากการเผา และลดพื้นที่จากการฝังได้อีกด้วย
เมื่อความตาย ยังสามารถช่วยโลกได้ รักษ์โลกได้ ...เมื่อตอนนี้ โลกนี้ มี บริษัทรับให้บริการ ทำศพแบบใหม่ เช่น การดูแลร่างให้กลายเป็นปุ๋ยและดิน เพื่อช่วยลดมลพิษจากการเผา และลดพื้นที่จากการฝังได้อีกด้วย โดยงานนี้จะดูแลร่างในโลงแบบพิเศษ ที่รองด้วยหญ้า ฟาง ขี้เลื่อย ตัวโลงมีระบบเก็บกลิ่นรบกวน และควบคุมอุณหภูมิเพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลาย
บริษัทนี้ ใช้ชื่อว่า Return Home โดยจะรับให้บริการ ทำศพแบบใหม่ จะใช้หลักการที่เรียกว่า เทอร์ราเมชัน (Terramation) หรือการเปลี่ยนร่างมนุษย์ให้กลายเป็นปุ๋ย ซึ่งใช้หลักการย่อยสลายตามธรรมชาติ โดยจะใช้ ขั้นแรกจะปล่อยทิ้งไว้ 30 วัน จนกระทั่งร่างกลายเป็นกระดูกและดิน ส่วนสิ่งที่ย่อยสลายไม่ได้ เช่น น็อต ฟันปลอม ก็จะแยกไปรีไซเคิล
ขณะที่ กระดูกชิ้นใหญ่ ก็จะบดให้เล็กลง แล้วส่งกลับใส่โลง เพื่อให้ย่อยสลายต่ออีก 30 วัน รวมเวลาของกระบวนการนี้ทั้งสิ้น 60 วัน หรือราวๆ 2 เดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ใกล้จบแล้ว ! ระบายน้ำเหนือ ลุ่มเจ้าพระยา สู่อ่าวไทย กทม.จะรอดวิกฤตหรือไม่ ?
-
สัตว์ป่าทั่วโลก ลดลงจนน่าตกใจถึง 69% นับจากปี 1970 ต้องตระหนักกันได้แล้ว
-
จีน พบ มลพิษโอโซน ทำ พืชเสียหายวงกว้าง...เรื่องนี้สะเทือนถึงไทย
สิ่งสุดท้ายที่ครอบครัวจะได้รับกลับไปก็คือดินและปุ๋ยอินทรีย์หนักประมาณ 180 กิโลกรัม พร้อมนำไปปลูกเป็นต้นไม้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงต่อไป
วิธีการ ทำศพแบบใหม่ ทำให้กลายเป็นปุ๋ยสู่ดิน แบบนี้ ถือเป็นเพียงอีกทางเลือกของการดูแลร่างผู้จากไปเท่านั้น และจะเลือกใช้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละศาสนา แต่ก็นับว่าเป็นวิธีที่มีข้อดี ตรงที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผา และยังลดค่าใช้จ่ายจากการทำพิธีได้ด้วย สุดท้ายปลายทางมันคือการเดินทางสู่การเป็น Keep The World
ค่าใช้จ่ายของกระบวนการทำศพแบบใหม่ ทำให้กลายเป็นปุ๋ยสู่ดิน นั้น ราคา อยู่ที่ 4,950 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 180,000 บาท ซึ่งถูกกว่าค่าทำศพแบบอื่นในสหรัฐฯ เช่น การเผา ที่มีราคาราว 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 260,000 บาท และปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา มีหลายรัฐที่ได้ผ่านร่างกฎหมายรับรองกระบวนการนี้แล้ว ได้แก่ วอชิงตัน โคโลราโด เวอร์มอนต์ โอเรกอน และแคลิฟอร์เนีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นความนิยมของการจัดการศพแบบใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ
ลองจินตนการดูว่า หากมีธุรกิจแบบนี้ในไทย จะเป็นอย่างไร และจะได้รับการตอบรับมากแค่ไหน แต่หากพิจารณาจากทิศทางของผู้คนทุกวันนี้แล้ว อาจจะได้รับควานิยม เพราะวิถีชีวิตผู้คนในทุกวันนี้ เปลี่ยนไปแล้ว และความตาย ยังสามารถช่วยโลกได้ รักษ์โลกได้
