svasdssvasds

รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต MQDC กระตุ้นไทยต้อง "ปล่อยคาร์บอนเป็นลบ" ภายในปี 2050

รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต MQDC กระตุ้นไทยต้อง "ปล่อยคาร์บอนเป็นลบ" ภายในปี 2050

สิงห์ อินทรชูโต MQDC ชี้ โลกควรมีเป้าหมายใหม่ ไปสู่ Nature Positive & Carbon Negative 2050 หรือ การสร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและปล่อยคาร์บอนสุทธิติดลบในปี 2050 แทน Net Zero เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่ระวัง เราจะไม่เหลือแม้แต่มนุษย์

งานสัมมนา GO GREEN 2023 Business Goal to the Next Era ซึ่งจัดโดยสื่อเครือเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC by MQDC) กล่าวบนเวที : Business Big Move ขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว 

อ.สิงห์ อินทรชูโต MQDC  ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันโลกแปรปรวนอย่างรุนแรง เพราะผลกระทบจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่น่าสะเทือนใจ คือ ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา มีสปีชีส์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากได้หายสาบสูญไปแล้ว เพราะความล่มสลายทางชีวภาพ แม้ขณะนี้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยจะตระหนักถึงปัญหา และ ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2050

ในมุมของ อ.สิงห์ อินทรชูโต MQDC ประเมินว่า พันธกิจหลักที่ทุกฝ่ายกำลังช่วยกันผลักดันอยู่นั้นอาจไม่เพียงพอและทันการณ์ เนื่องจากอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประชากรโลกก็จะเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล การพยายามรักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยกันปลูกป่าดูดซับ หวังลดคาร์บอน จากที่จะเหลือแค่มนุษย์บนโลก ในไม่กี่ปีข้างหน้า มนุษย์ก็อาจจะสูญหายไปด้วย เพราะอุณหภูมิโลก ที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ 1.5 องศาฯ ถึง 3 องศาฯ จะทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ไฟป่า น้ำท่วม น้ำแล้ง เร็วและถี่ขึ้น 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า ขณะนี้ โลกควรมีเป้าหมายใหม่ ไปสู่ Nature Positive & Carbon Negative 2050 หรือ การสร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและปล่อยคาร์บอนสุทธิติดลบในปี 2050 แทน Net Zero ซึ่งภายใต้รูปการณ์ที่ดูยากและท้าทาย จะนำมาซึ่ง การทุ่มเท เรื่องการลงทุน และการศึกษา เพื่อให้เกิดขึ้นจริงในเร็ววัน 

อ.สิงห์ อินทรชูโต MQDC ชี้ โลกควรมีเป้าหมายใหม่ ไปสู่ Nature Positive & Carbon Negative 2050 หรือ การสร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและปล่อยคาร์บอนสุทธิติดลบในปี 2050 แทน Net Zero เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่ระวัง เราจะไม่เหลือแม้แต่มนุษย์

รศ.ดร.สิงห์ ระบุว่า พันธกิจเหล่านี้ จะเป็นผลบวกต่อธุรกิจในอนาคต 2 ทาง ได้แก่ 1.สามารถช่วยโลกได้ 2.จะเป็นการต่อยอดทางธุรกิจได้

โดยขณะนี้ ถือเป็นจังหวะที่ดี ที่ภาคอุตสาหกรรม และ ธุรกิจ จะเริ่มเดินหน้าได้ โดย 1. ตั้งเป้าตรวจสอบอย่างจริงจัง ว่าภาคธุรกิจตนเอง มีส่วนปล่อยคาร์บอนแค่ไหน (คาร์บอนฟุตพรินท์) 2. หาแนวทางลดคาร์บอนให้ตรงจุด และ 3.ศึกษาแนวทางการดึงคาร์บอนส่วนเกินกลับมาแปรสภาพ และ หารายได้ 

เทียบตัวอย่าง การพัฒนาโครงการ เดอะฟอเรสเทียส์ ของ MQDC ซึ่งเป็นบิ๊กโปรเจ็กต์ภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการปลูกป่ามากกว่า 30 ไร่ เพื่อให้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต และ ดูดซับคาร์บอน ขณะเดียวกัน ได้มีการออกแบบระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ (Fresh air) ที่มีการแลกเปลี่ยนความร้อนอาคาร โดยไม่เพิ่มภาระแก่ระบบปรับอากาศ รวมถึงระบบทำความเย็นรวมศูนย์ (District Cooling System) ปล่อยท่อน้ำเย็นไปจนถึงห้องพักอากาศทุกห้องภายในโครงการ 

ขณะเดียวกัน โครงการยังให้ความสำคัญ กับ Reduce Construction Impacts and Employ Circular Economy ซึ่งนี่เป็น ข้อ3.ที่ระบุไว้ข้างต้นว่าจะนำมาซึ่งโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ เพิ่มรายได้ หรือ ลดต้นทุนได้  โดย ภายในโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ นอกจากเน้นการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

วัสดุคาร์บอนต่ำ หรือ วัสดุที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิล แล้ว ยังมีแนวคิดคิดเผื่อ ว่าเมื่อมีการใช้งานเสร็จแล้ว ยังสามารถถอดเอาวัสดุต่าง ๆ เหล่านี้ไปประกอบขึ้นเป็นอาคารใหม่ได้แทนการทุบทำลายก่อให้เกิดขยะปริมาณมหาศาลอีกด้วย

"ทิศทางแห่งอนาคต เรื่องความยั่งยืนมีแต่โตขึ้นๆ ถ้าเราเห็นแบบนี้อยู่แล้ว เราจะไม่กระโดดไปในวงจรนี้เหรอ ? มันเป็นเวลาที่ถูกต้องที่จะกระโดดเข้าไป  ภายใน 2030 กรีนพลาสติก เคมีภัณฑ์รักษ์โลก จะเป็นที่ต้องการแน่นอน" 

อ.สิงห์ อินทรชูโต MQDC ชี้ โลกควรมีเป้าหมายใหม่ ไปสู่ Nature Positive & Carbon Negative 2050 หรือ การสร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและปล่อยคาร์บอนสุทธิติดลบในปี 2050 แทน Net Zero เพราะถ้าเรื่องนี้ไม่ระวัง เราจะไม่เหลือแม้แต่มนุษย์
 

related