ปี 2023 ร้อนเป็นประวัติการณ์ ทำให้คนงานกลางแจ้งที่สหราชอาณาจักร ได้รับผลกระทบจากความร้อน ทำให้เกิดการเรียกร้องให้สั่งหยุดงาน หากอุณหภูมิพุ่งแตะ 27 องศา หลังมีคนเสียชีวิตจากความร้อนแล้ว 4,500 รายในปี 2022
ปี 2023 เป็นปีที่โลกทำลายสถิติอีกครั้งคือ เป็นปีที่อากาศร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ อันเนื่องมาจากภาวะโลกเดือด และผลพวงภัยร้อนจากเอลนีโญ ทั้งโลกล้วนรู้สึกและได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนทั่ว
ในสหราชอาณาจักร มีการเรียกร้องให้นายจ้างประกาศหยุดงาน หากวันใดอุณหภูมิในประเทศพุ่งทะลุเกิน 30 องศาเซลเซียส การเรียกร้องในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่คนงานต้องก้มหน้าก้มตาทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ในเครื่องแต่งกายที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็น จนทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
คนเสียชีวิตจากอากาศร้อน
ก่อนอื่นขอเรียนให้ทราบก่อนว่า ความรับรู้ถึงความร้อน-หนาวของคนในยุโรปแตกต่างจากเราชาวเอเชียพอสมควร เกณฑ์พิจารณาที่บ่งบอกว่าเป็นอากาศร้อนคือ 27°c แม้ตัวเลขนี้พอจะเป็นฤดูหนาวของประเทศไทยได้ แต่สำหรับประชากรในสหราชอาณาจักร นี่คืออากาศร้อน
ในปี 2022 สหราชอาณาจักรมีผู้เสียชีวิตจากอากาศที่ร้อนขึ้นราว 4,500 ราย และในระหว่างปี 1988 ถึง 2022 มีผู้เสียชีวิตจากอากาศที่ร้อนขึ้นจำนวน 52,000 ราย จากข้อมูลของสำนักงานสถิติ
ในช่วงระยะเวลา 35 ปี สำนักงานสถิติส่องไฟไปที่เวลส์ ก็พบว่ามีประชากรที่เสียชีวิตจากอากาศร้อนถึง 2,000 ราย ข้อมูลดังกล่าว ทำให้หลายภาคส่วนออกมาส่งเสียงเรียกร้องถึงนายจ้าง และบรรดานายทุนให้พิจารณาการหยุดงานในวันที่มีอากาศร้อน
ผู้เชี่ยวชาญ และองค์กรต่าง ๆ อาทิ National Infrastructure Commission, London School of Economics และ มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด เริ่มร่างแผนป้องกันให้กับประชากร เพื่อมิให้ได้รับอันตรายจากอากาศที่อุ่นขึ้น
ในแผนดังกล่าว ระบุรายละเอียดไว้ว่า ให้สามารถลาหรือ work from home ได้ หากอุณหภูมิพุ่งสูงถึง 27°c ถึง 30°c โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่ต้องทำกลางแจ้ง
โดยธรรมชาติของงานแล้ว คนกลุ่มนี้จำเป็นต้องสวมเครื่องแบบหนา หรือเครื่องแบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันอุณภูมิที่หนาวเหน็บ แต่กับอากาศร้อนคือคนละเรื่อง ทำให้เมื่ออากาศร้อน ร่างกายของคนงานเหล่านี้จะกระหายน้ำ หรือขาดน้ำได้
นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องดังกล่าวถูกคิดมาเพื่อ คนงานผู้มีรายได้น้อย และจำเป็นต้องทำงานในสถานที่กลางแจ้ง ซึ่งได้รับผลกระทบกับความแปรผันของสภาพอากาศไปเต็ม ๆ เพราะไม่มีเครื่องกรองอากาศมาช่วย
ข้อเสนอแนะ
ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะว่า เมื่อสภาพอากาศ (ร้อนจัดหรือเย็นจัด) ให้ประกาศเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉิน และจัดหาที่พักสำหรับคนงานกลุ่มที่สุ่มเสี่ยงต่อสภาพอากาศที่ย่ำแย่ พร้อมทั้งให้หยุดพัก 3 วันเพื่อประเมินสถานการณ์
อีกทั้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการ หรือบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้นกับผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ สั่งห้ามเผาป่า อันเป็นสาเหตุที่ทำให้อากาศแปรปรวนหนัก และควรสั่งให้มีการระดมทุนเพื่อปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วมให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น
หนึ่งในผู้เรียกร้องกล่าวถึงถ้อยคำที่เผ็ดร้อนถึงรัฐบาลว่า
“รัฐบาลอนุรักษ์นิยมยังขาดแผนงาน หรือการลงทุนใหม่ ๆ ที่สำคัญ เพื่อเตรียมรับมือการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ”
“คน 1% ของประเทศ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่คนงานที่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน จำต้องรับกับสภาพอากาศที่ย่ำแย่ไปอย่างปฏิเสธไม่ได้”
ทั้งนี้ทั้งนั้น การเรียกร้องในครั้งนี้เป็นเพียงการส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจ เพื่อบีบบังคับให้นายจ้างใส่ใจและดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานในบริษัทมากยิ่งขึ้น เพราะโลกที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ส่งผลกระทบกับคนงานโดยตรง
“ออสเตรเลีย” พิจารณาหยุดงานเนื่องจากอากาศร้อนเกินไป
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศออสเตรเลียถูกคลื่นความร้อนแผ่ขยายคลุมทั้งเมือง และดูไม่มีวี่แววว่าจะลดลง โดยตัวเลขอุณหภูมิพุ่งสูงที่ 40°c
ทำให้มีการแจ้งเตือนกันในหมู่คนงานว่า ให้หมั่นเช็กสภาพร่างกายของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าอยู่ในสภาวะขาดน้ำ หรือรู้สึกไม่ดีจากอากาศร้อนหรือไม่
นอกจากนี้ ยังส่งเสียงไปถึงรัฐบาลด้วยว่า ให้ออกมาตรการกับบริษัทต่าง ๆ ให้จัดหาพนักงานเพื่อมาหมุนเวียนกันในช่วงที่อากาศกำลังย่ำแย่ ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า “ไม่มีใครควรทำกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด”
แม้จะมองว่าตัวเลข 27°c ถือเป็นฤดูหนาวของเมืองไทยด้วยซ้ำ แต่ความคุ้นชินทางสภาพอากาศของผิวหนังที่ถูกฝังลงไปใน DNA ของชาวเอเชีย ไม่เหมือนกับชาวยุโรป ที่คุ้นชินอยู่กับสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากกว่าอากาศร้อน
ที่มา: The Guardian
เนื้อหาที่น่าสนใจ