svasdssvasds

โลกร้อน! ทำกาแฟไทยระส่ำ ชาวสวนขยับพื้นที่ปลูกสูงขึ้นรับมือ

โลกร้อน! ทำกาแฟไทยระส่ำ ชาวสวนขยับพื้นที่ปลูกสูงขึ้นรับมือ

โลกร้อนกระทบหนัก! กระทบชาวสวนกาแฟย้ายพื้นที่ปลูกสูงขึ้นจากระดับความสูง 800 เมตร ไป 1,000 เมตร แบกต้นทุน หลังอุณหภูมิทะลุ 30 องศา ทำผลผลิตวูบ

SHORT CUT

  • อุณหภูมิสูง ฝนผิดฤดู ทำให้ผลผลิตลด คุณภาพไม่สม่ำเสมอ กาแฟอราบิก้าปลูกในพื้นที่เดิมไม่ได้เหมือนเดิม
  • ชาวสวนต้องขยับพื้นที่ปลูกขึ้นที่สูงจากเดิมราว 800 เมตร ต้องย้ายขึ้นไปมากกว่า 1,000 เมตร เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนและรักษาคุณภาพเมล็ดกาแฟ
  • การปรับตัวอย่างยั่งยืนต้องมีองค์ความรู้ มาตรฐาน และการสนับสนุนระยะยาว เพื่อให้เกษตรกรและกาแฟไทยเดินต่อได้ในยุคโลกรวน

โลกร้อนกระทบหนัก! กระทบชาวสวนกาแฟย้ายพื้นที่ปลูกสูงขึ้นจากระดับความสูง 800 เมตร ไป 1,000 เมตร แบกต้นทุน หลังอุณหภูมิทะลุ 30 องศา ทำผลผลิตวูบ

เมื่อ “โลกรวน” ไม่ได้เป็นแค่คำเตือนในรายงานวิชาการ แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่กระทบถึงไร่นาและถ้วยกาแฟในมือเรา ภูมิอากาศที่แปรปรวน อุณหภูมิที่สูงขึ้น และฤดูกาลฝนที่ไม่แน่นอน กำลังบั่นทอนการเกษตรไทยอย่างเงียบๆ ผลผลิตลดลง คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ต้นทุนการดูแลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพืชอ่อนไหวต่อสภาพอากาศอย่าง “กาแฟ” ที่ต้องการสมดุลทั้งอุณหภูมิ น้ำ และความชื้นเพียงเล็กน้อย เมื่อธรรมชาติไม่เป็นใจ เมล็ดกาแฟก็ไม่หอมเหมือนเดิม เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ปัญหาของเกษตรกรบนดอย แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงความมั่นคงทางอาหารและอนาคตของพืชเศรษฐกิจสำคัญ ที่กำลังถูกท้าทายจากวิกฤตโลกรวนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันนี้จะพามาดูเรื่องราวของเกษตรกรชาวสวนกาแฟในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากโลกรวน พื้นที่ปางขอน–ผาลั้ง นับได้ว่าเป็นพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพของประเทศไทย #SPRiNG มีโอกาสพูดคุยกับ ‘ธีรศักดิ์ วุยยะอากุ’ ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านปางขอน จังหวัดเชียงราย เขาเล่าให้ฟังว่า สถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หรือ "โลกรวน" กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการเกษตร โดยเฉพาะ กาแฟอราบิก้า ซึ่งเป็นพืชที่อ่อนไหวต่ออุณหภูมิ จากเดิมที่เคยปลูกได้ดีในระดับความสูงประมาณ 800 เมตร ปัจจุบันเกษตรกรจำเป็นต้องขยับพื้นที่ปลูกขึ้นไปสู่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป เพื่อหนีความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น

โลกร้อน! ทำกาแฟไทยระส่ำ ชาวสวนขยับพื้นที่ปลูกสูงขึ้นรับมือ

โดยอุณหภูมิที่พุ่งสูง-พื้นที่ลุ่มเริ่มปลูกไม่ได้ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา สภาพอากาศมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่อุณหภูมิเริ่มแตะระดับ 30 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพื้นที่แถบนี้ ส่งผลให้พื้นที่ปลูกในระดับต่ำเริ่มทนความร้อนไม่ไหวและทำให้ต้นกาแฟมีสภาพทรุดโทรม

โลกร้อน! ทำกาแฟไทยระส่ำ ชาวสวนขยับพื้นที่ปลูกสูงขึ้นรับมือ

นอกจากนี้ยังเผชิญกับภัยแล้งและฝนผิดฤดูนับได้ว่าเป็นอุปสรรคสำคัญของการออกดอกและเก็บเกี่ยว ผลผลิตกาแฟที่หายไปเป็นจำนวนมากเกิดจากปัจจัยทางสภาพอากาศที่ขาดความสมดุล โดยแบ่งความเสียหายได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ดังนี้

• ความร้อนจัดและภัยแล้ง ในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่กาแฟต้องออกดอก หากเผชิญกับอากาศที่ร้อนเกินไปและไม่มีฝนตกลงมาช่วย จะส่งผลให้ ต้นกาแฟออกดอกไม่ไหวหรือดอกไม่ติดผล

• ฝนที่รุนแรงและผิดจังหวะ ปัจจุบันลักษณะของฝนได้เปลี่ยนไปเป็นแบบ "เรนบอมบ์" (Rain Bomb) ที่ตกหนักรุนแรง หากฝนตกหนักในช่วงที่ติดลูกจะทำให้เมล็ดกาแฟเป็น โรคราดำ จนเสียหาย และหากฝนตกในช่วงที่ผลกาแฟสุก (ระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม) จะทำให้ ผลกาแฟแตกและร่วงหล่น จนเกษตรกรเก็บเกี่ยวไม่ทัน

โลกร้อน! ทำกาแฟไทยระส่ำ ชาวสวนขยับพื้นที่ปลูกสูงขึ้นรับมือ

ทั้งนี้การขยับพื้นที่ปลูกขึ้นสู่ที่สูงจึงเป็นทางออกที่เกษตรกรเลือกใช้เพื่อรักษาคุณภาพ และปริมาณผลผลิต ในขณะที่พื้นที่เดิมเริ่มไม่เอื้ออำนวยต่อการทำสวนกาแฟอีกต่อไป เนื่องจากสภาพอากาศที่ต้องการความสมดุลอย่างพอเหมาะนั้นทำได้ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน

ทั้งหมด คือ เรื่องราวของชาวสวนกาแฟในพื้นที่บ้านปางขอนและผาลั้ง จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบจากโลกรวน แต่…ก็มีความพยายามช่วยเหลือชุมชนดังกล่าวจาก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ใช้ความเชี่ยวชาญของทีม Café Amazon เดินหน้าทำงานร่วมกับเกษตรกรกว่า 10 ปี ในหลายพื้นที่ และนำองค์ความรู้มาพัฒนาพื้นที่สูงของเชียงรายให้เป็นต้นแบบการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ตั้งแต่การให้ความรู้ การพัฒนาคุณภาพผลผลิต การรับซื้ออย่างเป็นธรรม ไปจนถึงการส่งต่อกาแฟคุณภาพไปสู่ร้าน Café Amazon กว่า 4,500 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเสิร์ฟกาแฟรวมกันกว่า 400 ล้านแก้วทั่วโลกต่อปี

โลกร้อน! ทำกาแฟไทยระส่ำ ชาวสวนขยับพื้นที่ปลูกสูงขึ้นรับมือ

โดยความตั้งใจยาวนานนี้ไม่เพียงทำให้คุณภาพกาแฟดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของครอบครัวในสองหมู่บ้านได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่ OR ทำต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย เพราะเราเชื่อว่าการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรต้องเริ่มต้นจาก ‘ความรู้’ และ ‘มาตรฐาน’ ไม่ใช่แค่การรับซื้อ เราลงพื้นที่หลายจังหวัดทั้งเชียงราย เชียงใหม่ น่าน และชุมพร เพื่อสร้างระบบปลูกกาแฟที่มีคุณภาพและสร้างตลาดที่โปร่งใส เป็นธรรมทำให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคงจริง ๆ ไม่ใช่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เราเลือก ‘พัฒนาไปด้วยกัน’ เพราะ OR ตั้งใจเข้ามาในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ร่วมสร้างระบบที่เดินไปด้วยกัน พอชาวบ้านมีปัญหา เราลงพื้นที่ทันที และช่วยแก้ไขปัญหา เป้าหมายคือทำให้กาแฟเป็นอาชีพที่มั่นคงในระยะยาวจริงๆ

โลกร้อน! ทำกาแฟไทยระส่ำ ชาวสวนขยับพื้นที่ปลูกสูงขึ้นรับมือ

แม้ว่าชาวสวนกาแฟจะได้รับผลกระทบจากโลกรวน แต่ก็ยังมี OR ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือและเดินเคียงข้างไปกับเกษตรกร แต่..วันนี้ “โลกรวน” ไม่ได้เป็นแค่คำเตือนบนเวทีโลก แต่กำลังสะท้อนชัดในไร่กาแฟของเกษตรกรไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้น ฝนที่แปรปรวน และฤดูกาลที่คาดเดาไม่ได้ กำลังบีบให้พื้นที่ปลูกกาแฟต้องขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาคุณภาพและผลผลิตเอาไว้ แต่การย้ายขึ้นที่สูงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากไม่มีองค์ความรู้ การปรับตัว และการสนับสนุนที่เหมาะสม เพราะในวันที่สภาพอากาศเปลี่ยนไป อนาคตของกาแฟไทยจะอยู่รอดได้ ไม่ใช่แค่ปลูกให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่ต้องก้าวให้ทันโลกที่เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

 

related