ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากจิ้งหรีด เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทย โดยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ แหล่งผลิตจิ้งหรีดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ใช้เทคโนโลยีพลังงาน อย่าง พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดต้นทุนและสร้างรายได้ให้ชุมชน
จิ้งหรีด จัดเป็นแมลงเศรษฐกิจตัวใหม่ที่สร้างรายได้แก่ประเทศและเกษตรกรของไทยในระยะยาว เนื่องจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO: Food and Agriculture Organization) ได้จัดให้แมลงเป็นแหล่งอาหารในอนาคตของโลก
ปัจจุบันในภาพรวมของประเทศไทย มีการส่งออกจิ้งหรีดทั้งในรูปแบบจิ้งหรีดผง จิ้งหรีดแปรรูป และจิ้งหรีดแช่แข็ง โดยวิสาหกิจชุมชนที่เลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ ถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ปริมาณการผลิตรวมประมาณ 50 - 60 ตัน/เดือน
และเพื่อเป็นการลดต้นทุนด้านพลังงานในการผลิต กระทรวงพลังงานจึงได้นำเทคโนโลยีพลังงานสู่วิสาหกิจชุมชนเพื่อส่งเสริมการผลิตจิ้งหรีดของชุมชนให้มีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุนการผลิต และสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลบัวใหญ่ ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานให้แก่วิสาหกิจฯ เลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ
เนื้อหาที่น่าสนใจ :
Coldplay ทัวร์คอนเสิร์ตรักษ์โลกใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ลด Carbon Footprint
กรมทรัพยากรธรณี ชี้อีก5-10 ปี "รอยเลื่อนสะกาย" อาจทำแผ่นดินไหวขนาด 7.5 ได้ !
วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2558 สมาชิกทั้งหมด 31 คน ถือเป็นแหล่งผลิตจิ้งหรีดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและปริมาณความต้องการสินค้ายังมีในปริมาณที่สูง โดยมีการส่งสินค้า เป็นจิ้งหรีดสด และจิ้งหรีดแช่เข็ง ซึ่งขั้นตอนการเก็บรักษาคุณภาพจิ้งหรีดในห้องเย็น ต้องผ่านกระบวนการทำความสะอาด และการต้มให้สุกก่อน หลังจากต้มสุกแล้วนำจิ้งหรีดไปตากผึ่งให้แห้งหมาดๆ และทำการบรรจุถุง นำเข้าไปเก็บในห้องเย็นเพื่อรักษาคุณภาพ
โดยแต่ก่อนการต้มจิ้งหรีดจะใช้ก๊าซหุงต้ม ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาไม่แน่นอน การได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานมีส่วนช่วยลดต้นทุนจากกระบวนการผลิต เช่น การนำระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ช่วยให้สินค้ามีความสะอาด และลดระยะเวลาในการตาก
กลุ่มวิสาหกิจฯ ได้รับจิ้งหรีดจากสมาชิกที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นส่งมาเข้ากระบวนการผลิตและส่งจำหน่ายในแต่ละครั้งประมาณ 8-9 ตัน/ครั้ง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ปริมาณรวมผลิตได้ประมาณ 50-60 ตัน/เดือน ซึ่งชุมชนได้จำหน่ายราคาประมาณ 85,000 บาท/ตัน
รายได้รวมประมาณ 4-5 ล้านบาท/เดือน โดยผลิตให้แก่บริษัท รับขายส่งเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์รายใหญ่ในจังหวัดขอนแก่น และลูกค้ารายย่อยที่จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุดรธานี
สำนักงานพลังงานจังหวัดขอนแก่น ขับเคลื่อนและมุ่งเน้นการบริการจัดการด้านพลังงานเชิงพื้นที่โดยให้การสนับสนุนส่งเสริมด้านพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้แก่กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนในเชิงพื้นที่ ทั้งงบกระทรวงพลังงาน งบประมาณแผ่นดิน (งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด) โดยให้การส่งเสริมสนับสนุน เช่น ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์บ่อบาดาล จำนวนมากกว่า 700 แห่ง ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เคลื่อนที่ ขนาดไม่น้อยกว่า 320 วัตต์ จำนวน 25 คัน ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 3 x 4 เมตร จำนวน 29 แห่ง ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 2 x 2 เมตร จำนวน 25 แห่ง เป็นต้น
โดยภาพรวมสำนักงานพลังงานจังหวัดขอนแก่นให้การส่งเสริมสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนหรือเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานประมาณ 2,882,975 kWh/ปี หรือเทียบเท่า 245.94 toe/ปี คิดเทียบเป็นค่าใช้จ่ายสามารถลดต้นทุนการผลิตให้แก่กลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจจำนวน 14,126,577 บาท/ปี สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 482.04 tons of CO2e/ปี
จังหวัดขอนแก่นมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (PEAK) 320.93 เมกะวัตต์ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโดยรวม 941.12 เมกะวัตต์ โดยจังหวัดขอนแก่นมีศักยภาพด้านการผลิตการมากกว่าความต้องการใช้พลังงานอยู่ถึง 620.19 เมกะวัตต์ คิดเป็น 65.89%